ขันธ์ 5 คืออะไร ทำไมคนเป็นโรคซึมเศร้าต้องเรียนรู้ขันธ์ 5
PURIFILM สร้างแรงบันดาลใจ ให้คติธรรม นำพลังสร้างชีวิต
สวัสดีครับคุณผู้ชมคุณผู้ฟังทุกท่าน ที่ติดตามรับชมภูริฟิล์ม คลิบนี้นะครับผมจะมาพูดคุยในเรื่องของ ขันธ์ 5 ว่าคืออะไร และทำไมคนเป็นโรคซึมเศร้า จึงต้องเรียนรู้ขันธ์ 5 ซึ่งในเรื่องนี้ ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่า ขันธ์ 5 หรือ (เบญจขันธ์) เป็นหลักธรรมในศาสนาพุทธ ที่สอดคล้องกับเรื่องของ “ทุกข์” ตามหลักอริยสัจ 4 โดยหมายถึง กองแห่งรูปธรรม และนามธรรมทั้ง 5 ที่ทำให้เกิดเป็นตัวตน หรือชีวิตขึ้นมา หรืออาจจะพูดให้เข้าใจๆ ง่ายว่า ส่วนประกอบ 5 อย่าง ที่รวมกันแล้ว ก่อให้เกิดเป็นคน และสัตว์ขึ้นมานั่นเอง ซึ่งองค์ประกอบของขันธ์ 5 ก็ประกอบไปด้วยกองรูปธรรม และนามธรรม คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ท่านให้เรามองว่า มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเป็นปกติ ไม่มีใครสามารถจะบังคับมันได้ อย่างเช่น รูป เมื่อร่างกายแก่ เราก็จะห้ามความแก่ไม่ได้ เมื่อเราเจ็บ ก็ห้ามความเจ็บไม่ได้ และเมื่อตายไป เราก็ห้ามความตายไม่ได้ หรือแม้แต่ เวทนา ความทุกข์ความสุข เราก็ห้ามมันไม่ได้ อย่างเช่น เราลองตั้งใจ ให้ตัวเองมีความสุขสัก 5 ชั่วโมง แล้วหลังจากนั้น ก็ให้เรามีความทุกข์สัก 2 ชั่วโมง ซึ่งมันก็เป็นไปไม่ได้ และเมื่อเรากำหนดมันไม่ได้ มันเป็นของมันอย่างนั้นเอง มันมีความสุขมีความทุกข์ มันก็เป็นของมันอย่างนั้น เราไม่สามารถเข้าไปบังคับมันได้ มีเพียงสติตามรู้เท่านั้น ส่วนสัญญา คือความจำนั่นเอง ส่วนสังขาร ก็คือการปรุงแต่งของจิต อย่างเช่น ความรู้สึกดีใจ รู้สึกเสียใจ รู้สึกว่าเหงา สิ่งเหล่านี้มันก็ไม่เที่ยง ไม่มีใครจะกำหนดได้ว่า อยากมีความรู้สึกดีใจสัก 5 ชั่วโมง แล้วหลังจากนั้น ขอรู้สึกเฉยๆ หรือ จะตั้งว่า ขอโกรธสัก 5 ชั่วโมง แล้วหลังจากนั้นให้มีความสุขต่อ ซึ่งเราก็ทำไม่ได้ เพราะว่าสิ่งเหล่านี้ มันไม่เที่ยง มันเกิดความรู้สึก มันก็เกิดของมันเอง เมื่อมันดับ มันก็ดับของมันเอง มีเพียงสติเข้าไปตามรู้ว่า ตอนนี้โกรธ ตอนนี้เกลียด เราก็อย่าหลงไป ตามความรู้สึกเหล่านั้น ซึ่งขันธ์ ๕ หรือเบญจขันธ์นี้ ท่านว่า สามารถขยายความ เพื่อให้เข้าใจง่ายๆ มีดังต่อไปนี้ครับ
๑. รูปขันธ์ หรือรูป หมายถึง กองหรือส่วนของ รูปร่างหน้าตา หรือร่างกาย หรือฝ่ายตัวตน รูปขันธ์ ถ้ายังไม่กระจ่างว่า เป็นอย่างไรกันแน่ ท่านว่า ก็ให้นึกถึงภาพ ของคนที่เพิ่งตายใหม่ๆ ที่มีร่างกายสมบูรณ์อยู่ ยังไม่แตกสลายไป นั่นแหละคือส่วน หรือกองของรูป หรือรูปขันธ์แท้ๆ ล้วนๆ ที่ยังไม่อิง หรือไม่เป็นเหตุปัจจัย ประชุมร่วมกับขันธ์อื่นๆ ทั้ง ๔ ขันธ์ ก็จะมีสภาพเป็นเพียงกลุ่มก้อนมายา ของเหตุปัจจัยของธาตุทั้ง ๔ ซึ่งเป็นเพียง "สรีระยนต์" ที่นอนเป็นท่อนเป็นก้อนเฉยอยู่นั่นเอง
๒. เวทนาขันธ์ การเสวยอารมณ์, ความรู้สึก, ซึ่งเป็นความรู้สึกที่เกิดจาก การรับรู้ในรสของอารมณ์ (Feeling) คือ ความรู้สึกรับรู้ ที่ย่อมเกิดขึ้น จากสิ่งที่จิตกำหนดหมาย หรือยึด หรือกระทบนั้นๆ จึงหมายถึง กองหรือหมวดหมู่ของชีวิต ที่ทำหน้าที่ เสพเสวย ในรสชาดของสิ่งต่างๆ ที่เป็นอารมณ์ กล่าวคือ ความรู้สึก ที่ย่อมต้องเกิดขึ้น จากการเสพเสวย หรือรับรู้ในสิ่ง (อารมณ์) ต่างๆ ที่กระทบสัมผัส (ผัสสะ) ซึ่งพระองค์ท่านแบ่งความรู้สึก (Feeling) ของเวทนา ออกเป็น ๓ ประการ คือ
1. สุขเวทนา คือ ความรู้สึกสุขสบาย ถูกใจ สบายใจ ชอบใจ ซึ่งครอบคลุมทั้งฝ่ายกาย และจิต หรือที่เรียกความรู้สึกชนิดนี้ โดยทั่วไปว่า ความสุข นั่นเอง
2. ทุกขเวทนา คือ ความรู้สึกลำบาก, รู้สึกเจ็บปวด, รู้สึกเป็นทุกข์, เป็นการเสวยอารมณ์ที่ไม่สบาย ไม่ถูกใจ ไม่ชอบใจ อันครอบคลุมทั้งกาย และจิตเช่นกัน หรือที่เรียกความรู้สึกชนิดนี้ โดยทั่วไปว่า ความทุกข์ นั่นเอง
3. อทุกขมสุขเวทนา ความรู้สึก ไม่สุขไม่ทุกข์ เรียกกันอีกอย่างว่า อุเบกขาเวทนา หรือที่เรียกกันง่ายๆ ว่า เฉยๆ หรือไม่มีอะไร ไม่รู้สึกอะไรนั่นเอง ครับ
๓. สัญญาขันธ์ หมายถึง ส่วน หรือกองของชีวิต ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับความจำ คือ ความจำได้ ความทรงจำ ตลอดจนครอบคลุมถึงการหมายรู้ การกำหนดหมาย ปัญญา การประเมินข้อมูล เป็นต้น ดังนั้น จึงย่อมเกิดจากการสั่งสม จดจำประมวลผล ตั้งแต่อดีต หรือตั้งแต่อ้อนแต่ออก จวบจนปัจจุบัน อันย่อมใช้สมองส่วนหนึ่ง ในการบันทึกเก็บจำ ซึ่งย่อมมีข้อมูลอย่างมากมายมหาศาล จนเกินกว่าที่จำได้ทั้งปวง ในขณะจิตหนึ่งนั้น สัญญาหรือฝ่ายความจำได้, หมายรู้ จึงต้องทำงานหรือเกิดขึ้น ในลักษณะเกิดดับ เกิดดับ ดังนี้อยู่เสมอ กล่าวคือ เกิด คือจำขึ้นมาได้ แล้วก็ดับ คือลืมลงไปนั่นเอง ซึ่งคนเราเป็นไปดังนี้อยู่เสมอ
๔. สังขารขันธ์ หมายถึง กองหรือส่วนของผล ที่เกิดขึ้นจากขันธ์ต่างๆ มาเป็นเหตุปัจจัยกัน คือ เกิดผลเป็นการกระทำต่างๆ ขึ้น กล่าวคือ เป็นสิ่งปรุงแต่งทางใจ ให้เกิดการกระทำ คือ (กรรม) ทางกาย, วาจา, และใจ และเกิดเจตนาที่จะกระทำ หรือกรรมทางกาย วาจา และใจต่างๆ ขึ้นมานั่นเอง อย่างเช่น การกระทำทางกายทุกๆ อย่าง คือ กายสังขาร เช่น เดิน นอน นั่ง กิน อุจจาระ หรือปัสสาวะ เป็นต้น ทางวาจา หรือวจีสังขาร เช่นการพูด การคุย การอุทานต่างๆ หรือการด่าทอต่อว่าเป็นต้น หรือทางใจที่เรียกว่า มโนสังขารบ้าง จิตสังขารบ้าง เช่น ความคิด ความนึกต่างๆ เป็นต้น
๕. วิญญาณขันธ์ ความรู้แจ้งในอารมณ์ หมายถึง กองหรือหมวดหมู่ ของระบบประสาททั้งปวง กล่าวคือ วิญญาณมีหน้าที่ ในการรับรู้ คือ รู้แจ้งในอารมณ์ คืออายตนะภายนอกทั้งหลาย ที่จร หรือเกิดการกระทบนั้น ก็คือ เป็นสิ่งที่ทำหน้าที่ ดั่งระบบประสาทในการสื่อสาร ต่อเหล่าอายตนะภายนอกทั้งหลาย ที่จรมากระทบ และแม้แต่ถ่ายทอดข้อมูลต่างๆ ของชีวิต คือระหว่างขันธ์ต่างๆ ทั้ง ๕ ด้วยกัน กล่าวคือ ขันธ์ต่างๆ ล้วนมีการเชื่อมสื่อสาร ประสานสัมพันธ์ หรือแลกเปลี่ยนข้อมูล ระหว่างขันธ์ด้วยกัน และทั้งต่อ เหล่าอายตนะภายนอกทั้งหลาย ที่จรมากระทบด้วย ก็ล้วนต้องอาศัยวิญญาณนี้นี่เอง ที่เป็นตัวเชื่อมประสาน
สรุปแล้ว ขันธ์ 5 หรือ(เบญจขันธ์) ก็เป็นหลักธรรมในศาสนาพุทธ ที่สอดคล้องกับเรื่องของ “ทุกข์” ตามหลักอริยสัจ 4 โดยหมายถึง กองแห่งรูปธรรม และนามธรรมทั้ง 5 ที่ทำให้เกิดเป็นตัวตน หรือชีวิตขึ้นมา หรือพูดให้เข้าใจง่ายก็คือ ส่วนประกอบ 5 อย่าง ที่รวมกันแล้วก่อให้เกิด เป็นคน และสัตว์ขึ้นมานั่นเอง ซึ่งสามารถแยกออกเป็น 1 รูป และ 4 นาม ดังนี้
1. รูปขันธ์ หมายถึง กองรูป ส่วนที่เป็นร่างกาย พฤติกรรม คุณสมบัติต่างๆ ของร่างกาย และส่วนประกอบที่เป็นรูปธรรมทั้งหมด
2. เวทนาขันธ์ หมายถึง กองเวทนา ส่วนที่เป็นความรู้สึกทุกข์ สุข ดีใจ พอใจ 3. สัญญาขันธ์ หมายถึง กองสัญญา ส่วนที่เป็นการจำสิ่งที่ได้รับ
4. สังขารขันธ์ หมายถึง กองสังขาร ส่วนที่เป็นการคิดปรุงแต่ง โดยสามารถแยกแยะ สิ่งที่รู้สึก หรือจดจำได้
5. วิญญาณขันธ์ หมายถึง กองวิญญาณ หรือ จิต เป็นการรู้แจ้ง ถึงสิ่งต่างๆ ผ่านทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ
ซึ่งขันธ์ 5 นี้ โดยรูปขันธ์ จะจัดเป็นรูป เพราะเกี่ยวกับส่วนที่มีตัวตน ส่วนเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์ จะจัดเป็น 4 นามขันธ์ ซึ่งเป็นปรมัตถธรรม 4 เป็นส่วนที่เป็นความคิด และความรู้สึกนั่นเอง ท่านว่า ขันธ์ 5 นี้ จะเกี่ยวข้อง กับชีวิตประจำวันของเราทุกคน เพราะขันธ์ 5 สอนให้เรา มองเห็นความเป็นจริงของสังขาร ว่าเป็นสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นมา ไม่มีความเที่ยง และก่อให้เกิดทุกข์หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความอยาก ความยึดมั่นถือมั่นในตนเอง ดังนั้น เมื่อสังขารเกิดขึ้นมา ก็ย่อมมีวันสูญสลาย ไปตามกาลเวลา ครับ
ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิดในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญกับทุกท่าน ที่มีส่วนร่วมในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ
สวัสดีครับคุณผู้ชมคุณผู้ฟังทุกท่าน ที่ติดตามรับชมภูริฟิล์ม คลิบนี้นะครับผมจะมาพูดคุยในเรื่องของ ขันธ์ 5 ว่าคืออะไร และทำไมคนเป็นโรคซึมเศร้า จึงต้องเรียนรู้ขันธ์ 5 ซึ่งในเรื่องนี้ ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่า ขันธ์ 5 หรือ (เบญจขันธ์) เป็นหลักธรรมในศาสนาพุทธ ที่สอดคล้องกับเรื่องของ “ทุกข์” ตามหลักอริยสัจ 4 โดยหมายถึง กองแห่งรูปธรรม และนามธรรมทั้ง 5 ที่ทำให้เกิดเป็นตัวตน หรือชีวิตขึ้นมา หรืออาจจะพูดให้เข้าใจๆ ง่ายว่า ส่วนประกอบ 5 อย่าง ที่รวมกันแล้ว ก่อให้เกิดเป็นคน และสัตว์ขึ้นมานั่นเอง ซึ่งองค์ประกอบของขันธ์ 5 ก็ประกอบไปด้วยกองรูปธรรม และนามธรรม คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ท่านให้เรามองว่า มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเป็นปกติ ไม่มีใครสามารถจะบังคับมันได้ อย่างเช่น รูป เมื่อร่างกายแก่ เราก็จะห้ามความแก่ไม่ได้ เมื่อเราเจ็บ ก็ห้ามความเจ็บไม่ได้ และเมื่อตายไป เราก็ห้ามความตายไม่ได้ หรือแม้แต่ เวทนา ความทุกข์ความสุข เราก็ห้ามมันไม่ได้ อย่างเช่น เราลองตั้งใจ ให้ตัวเองมีความสุขสัก 5 ชั่วโมง แล้วหลังจากนั้น ก็ให้เรามีความทุกข์สัก 2 ชั่วโมง ซึ่งมันก็เป็นไปไม่ได้ และเมื่อเรากำหนดมันไม่ได้ มันเป็นของมันอย่างนั้นเอง มันมีความสุขมีความทุกข์ มันก็เป็นของมันอย่างนั้น เราไม่สามารถเข้าไปบังคับมันได้ มีเพียงสติตามรู้เท่านั้น ส่วนสัญญา คือความจำนั่นเอง ส่วนสังขาร ก็คือการปรุงแต่งของจิต อย่างเช่น ความรู้สึกดีใจ รู้สึกเสียใจ รู้สึกว่าเหงา สิ่งเหล่านี้มันก็ไม่เที่ยง ไม่มีใครจะกำหนดได้ว่า อยากมีความรู้สึกดีใจสัก 5 ชั่วโมง แล้วหลังจากนั้น ขอรู้สึกเฉยๆ หรือ จะตั้งว่า ขอโกรธสัก 5 ชั่วโมง แล้วหลังจากนั้นให้มีความสุขต่อ ซึ่งเราก็ทำไม่ได้ เพราะว่าสิ่งเหล่านี้ มันไม่เที่ยง มันเกิดความรู้สึก มันก็เกิดของมันเอง เมื่อมันดับ มันก็ดับของมันเอง มีเพียงสติเข้าไปตามรู้ว่า ตอนนี้โกรธ ตอนนี้เกลียด เราก็อย่าหลงไป ตามความรู้สึกเหล่านั้น ซึ่งขันธ์ ๕ หรือเบญจขันธ์นี้ ท่านว่า สามารถขยายความ เพื่อให้เข้าใจง่ายๆ มีดังต่อไปนี้ครับ
๑. รูปขันธ์ หรือรูป หมายถึง กองหรือส่วนของ รูปร่างหน้าตา หรือร่างกาย หรือฝ่ายตัวตน รูปขันธ์ ถ้ายังไม่กระจ่างว่า เป็นอย่างไรกันแน่ ท่านว่า ก็ให้นึกถึงภาพ ของคนที่เพิ่งตายใหม่ๆ ที่มีร่างกายสมบูรณ์อยู่ ยังไม่แตกสลายไป นั่นแหละคือส่วน หรือกองของรูป หรือรูปขันธ์แท้ๆ ล้วนๆ ที่ยังไม่อิง หรือไม่เป็นเหตุปัจจัย ประชุมร่วมกับขันธ์อื่นๆ ทั้ง ๔ ขันธ์ ก็จะมีสภาพเป็นเพียงกลุ่มก้อนมายา ของเหตุปัจจัยของธาตุทั้ง ๔ ซึ่งเป็นเพียง "สรีระยนต์" ที่นอนเป็นท่อนเป็นก้อนเฉยอยู่นั่นเอง
๒. เวทนาขันธ์ การเสวยอารมณ์, ความรู้สึก, ซึ่งเป็นความรู้สึกที่เกิดจาก การรับรู้ในรสของอารมณ์ (Feeling) คือ ความรู้สึกรับรู้ ที่ย่อมเกิดขึ้น จากสิ่งที่จิตกำหนดหมาย หรือยึด หรือกระทบนั้นๆ จึงหมายถึง กองหรือหมวดหมู่ของชีวิต ที่ทำหน้าที่ เสพเสวย ในรสชาดของสิ่งต่างๆ ที่เป็นอารมณ์ กล่าวคือ ความรู้สึก ที่ย่อมต้องเกิดขึ้น จากการเสพเสวย หรือรับรู้ในสิ่ง (อารมณ์) ต่างๆ ที่กระทบสัมผัส (ผัสสะ) ซึ่งพระองค์ท่านแบ่งความรู้สึก (Feeling) ของเวทนา ออกเป็น ๓ ประการ คือ
1. สุขเวทนา คือ ความรู้สึกสุขสบาย ถูกใจ สบายใจ ชอบใจ ซึ่งครอบคลุมทั้งฝ่ายกาย และจิต หรือที่เรียกความรู้สึกชนิดนี้ โดยทั่วไปว่า ความสุข นั่นเอง
2. ทุกขเวทนา คือ ความรู้สึกลำบาก, รู้สึกเจ็บปวด, รู้สึกเป็นทุกข์, เป็นการเสวยอารมณ์ที่ไม่สบาย ไม่ถูกใจ ไม่ชอบใจ อันครอบคลุมทั้งกาย และจิตเช่นกัน หรือที่เรียกความรู้สึกชนิดนี้ โดยทั่วไปว่า ความทุกข์ นั่นเอง
3. อทุกขมสุขเวทนา ความรู้สึก ไม่สุขไม่ทุกข์ เรียกกันอีกอย่างว่า อุเบกขาเวทนา หรือที่เรียกกันง่ายๆ ว่า เฉยๆ หรือไม่มีอะไร ไม่รู้สึกอะไรนั่นเอง ครับ
๓. สัญญาขันธ์ หมายถึง ส่วน หรือกองของชีวิต ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับความจำ คือ ความจำได้ ความทรงจำ ตลอดจนครอบคลุมถึงการหมายรู้ การกำหนดหมาย ปัญญา การประเมินข้อมูล เป็นต้น ดังนั้น จึงย่อมเกิดจากการสั่งสม จดจำประมวลผล ตั้งแต่อดีต หรือตั้งแต่อ้อนแต่ออก จวบจนปัจจุบัน อันย่อมใช้สมองส่วนหนึ่ง ในการบันทึกเก็บจำ ซึ่งย่อมมีข้อมูลอย่างมากมายมหาศาล จนเกินกว่าที่จำได้ทั้งปวง ในขณะจิตหนึ่งนั้น สัญญาหรือฝ่ายความจำได้, หมายรู้ จึงต้องทำงานหรือเกิดขึ้น ในลักษณะเกิดดับ เกิดดับ ดังนี้อยู่เสมอ กล่าวคือ เกิด คือจำขึ้นมาได้ แล้วก็ดับ คือลืมลงไปนั่นเอง ซึ่งคนเราเป็นไปดังนี้อยู่เสมอ
๔. สังขารขันธ์ หมายถึง กองหรือส่วนของผล ที่เกิดขึ้นจากขันธ์ต่างๆ มาเป็นเหตุปัจจัยกัน คือ เกิดผลเป็นการกระทำต่างๆ ขึ้น กล่าวคือ เป็นสิ่งปรุงแต่งทางใจ ให้เกิดการกระทำ คือ (กรรม) ทางกาย, วาจา, และใจ และเกิดเจตนาที่จะกระทำ หรือกรรมทางกาย วาจา และใจต่างๆ ขึ้นมานั่นเอง อย่างเช่น การกระทำทางกายทุกๆ อย่าง คือ กายสังขาร เช่น เดิน นอน นั่ง กิน อุจจาระ หรือปัสสาวะ เป็นต้น ทางวาจา หรือวจีสังขาร เช่นการพูด การคุย การอุทานต่างๆ หรือการด่าทอต่อว่าเป็นต้น หรือทางใจที่เรียกว่า มโนสังขารบ้าง จิตสังขารบ้าง เช่น ความคิด ความนึกต่างๆ เป็นต้น
๕. วิญญาณขันธ์ ความรู้แจ้งในอารมณ์ หมายถึง กองหรือหมวดหมู่ ของระบบประสาททั้งปวง กล่าวคือ วิญญาณมีหน้าที่ ในการรับรู้ คือ รู้แจ้งในอารมณ์ คืออายตนะภายนอกทั้งหลาย ที่จร หรือเกิดการกระทบนั้น ก็คือ เป็นสิ่งที่ทำหน้าที่ ดั่งระบบประสาทในการสื่อสาร ต่อเหล่าอายตนะภายนอกทั้งหลาย ที่จรมากระทบ และแม้แต่ถ่ายทอดข้อมูลต่างๆ ของชีวิต คือระหว่างขันธ์ต่างๆ ทั้ง ๕ ด้วยกัน กล่าวคือ ขันธ์ต่างๆ ล้วนมีการเชื่อมสื่อสาร ประสานสัมพันธ์ หรือแลกเปลี่ยนข้อมูล ระหว่างขันธ์ด้วยกัน และทั้งต่อ เหล่าอายตนะภายนอกทั้งหลาย ที่จรมากระทบด้วย ก็ล้วนต้องอาศัยวิญญาณนี้นี่เอง ที่เป็นตัวเชื่อมประสาน
สรุปแล้ว ขันธ์ 5 หรือ(เบญจขันธ์) ก็เป็นหลักธรรมในศาสนาพุทธ ที่สอดคล้องกับเรื่องของ “ทุกข์” ตามหลักอริยสัจ 4 โดยหมายถึง กองแห่งรูปธรรม และนามธรรมทั้ง 5 ที่ทำให้เกิดเป็นตัวตน หรือชีวิตขึ้นมา หรือพูดให้เข้าใจง่ายก็คือ ส่วนประกอบ 5 อย่าง ที่รวมกันแล้วก่อให้เกิด เป็นคน และสัตว์ขึ้นมานั่นเอง ซึ่งสามารถแยกออกเป็น 1 รูป และ 4 นาม ดังนี้
1. รูปขันธ์ หมายถึง กองรูป ส่วนที่เป็นร่างกาย พฤติกรรม คุณสมบัติต่างๆ ของร่างกาย และส่วนประกอบที่เป็นรูปธรรมทั้งหมด
2. เวทนาขันธ์ หมายถึง กองเวทนา ส่วนที่เป็นความรู้สึกทุกข์ สุข ดีใจ พอใจ 3. สัญญาขันธ์ หมายถึง กองสัญญา ส่วนที่เป็นการจำสิ่งที่ได้รับ
4. สังขารขันธ์ หมายถึง กองสังขาร ส่วนที่เป็นการคิดปรุงแต่ง โดยสามารถแยกแยะ สิ่งที่รู้สึก หรือจดจำได้
5. วิญญาณขันธ์ หมายถึง กองวิญญาณ หรือ จิต เป็นการรู้แจ้ง ถึงสิ่งต่างๆ ผ่านทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ
ซึ่งขันธ์ 5 นี้ โดยรูปขันธ์ จะจัดเป็นรูป เพราะเกี่ยวกับส่วนที่มีตัวตน ส่วนเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์ จะจัดเป็น 4 นามขันธ์ ซึ่งเป็นปรมัตถธรรม 4 เป็นส่วนที่เป็นความคิด และความรู้สึกนั่นเอง ท่านว่า ขันธ์ 5 นี้ จะเกี่ยวข้อง กับชีวิตประจำวันของเราทุกคน เพราะขันธ์ 5 สอนให้เรา มองเห็นความเป็นจริงของสังขาร ว่าเป็นสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นมา ไม่มีความเที่ยง และก่อให้เกิดทุกข์หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความอยาก ความยึดมั่นถือมั่นในตนเอง ดังนั้น เมื่อสังขารเกิดขึ้นมา ก็ย่อมมีวันสูญสลาย ไปตามกาลเวลา ครับ
ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิดในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญกับทุกท่าน ที่มีส่วนร่วมในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น