วิธีอ่านใจคน ศาสตร์เรียนรู้จุดอ่อน ด้วยจริต 6 ประการ
PURIFILM สร้างแรงบันดาลใจ ให้คติธรรม นำพลังสร้างชีวิต
สวัสดีครับคุณผู้ชมคุณผู้ฟังทุกท่าน ที่ติดตามรับชมภูริฟิล์ม คลิบนี้นะครับผมจะมาพูดคุย ในเรื่องของ วิธีการอ่านใจคน ศาสตร์แห่งการเรียนรู้จุดอ่อน ด้วยจริต 6 ประการ ซึ่งในเรื่องนี้ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่า ภูเขาสามารถถล่มมาเป็นถนน แม่น้ำสามารถเปลี่ยนทางเดิน แต่นิสัยใจคอคน ยากแท้ที่จะเปลี่ยนได้ ซึ่งคำว่าจริตนั้น ก็หมายถึง สภาวะจิตของคนตามธรรมชาติ สามารถแบ่งออกได้ ๖ ประเภทใหญ่ๆ นั่นก็คือ
1. วิตกจริต คือคนที่มีสภาวะจิต ชอบกังวล สับสนวุ่นวาย และฟุ้งซ่านตลอดเวลา
2. โทสะจริต คือคนที่มีสภาวะจิตโกรธง่าย โมโหง่าย และมีอารมณ์ฉุนเฉียว
3. โมหะจริต คือคนที่มีสภาวะจิต อยู่ในอาการซึมเศร้า เศร้าหมอง เบื่อๆ เซ็งๆ
4. ศรัทธาจริต คือคนที่มีสภาวะจิต มีความคิด มีปรัชญา มีหลักการเป็นของตัวเอง
5. พุทธิจริต คือคนที่มีสภาวะจิต มุ่งเน้นในการใช้ปัญญาไตร่ตรอง คิดหาเหตุผล มาแก้ปัญหาต่างๆ ในชีวิต 6. ราคะจริต คือคนที่มีสภาวะจิต หลงติดในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส จนเป็นอารมณ์ ท่านว่าจริตทั้ง 6 ประการนี้ เป็นสภาวะจิตที่เราควรจะเรียนรู้ เพื่อจะได้รู้เรารู้เขารู้ทันคน ซึ่งขยายความได้ดังนี้
ข้อที่ 1. วิตกจริต ท่านว่า คนที่มีวิตกจริตนั้น จะเป็นคนที่ชอบพูด ชอบคิด และมีความฟุ้งซ่าน ชอบอยู่ในโลกแห่งความคิด มากกว่าโลกความเป็นจริง จึงมองโลกในแง่ร้าย ชอบคิดว่าคนอื่น จะมาเอารัดเอาเปรียบ และจะมากลั่นแกล้งตัวเองอยู่เสมอ จึงทำให้มีใบหน้าบึ้งตึง ไม่ค่อยยิ้ม เจ้ากี้เจ้าการ และอัตตาสูง เพราะคิดว่าตัวเองเก่ง ท่านว่าจุดอ่อน ของคนที่มีวิตกจริตนั้น ก็คือ เป็นคนที่ชอบเปลี่ยนแปลง ความคิดอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้จุดยืนกลับไปกลับมา กลายเป็นคนไม่รักษาสัญญา มีแต่ความคิด แต่ไม่มีความรู้สึก จึงมักจะลังแล และตัดใจผิดพลาด ชอบทะเลาะวิวาท ทำร้ายจิตใจ เอารัดเอาเปรียบผู้อื่นอยู่เสมอ จึงทำให้ตัวเองมีความทุกข์ เพราะมองเห็นแต่ปัญหา แต่ไม่รู้จักวิธีแก้ไขที่ถูกต้อง ฉะนั้นหากเรารู้ตัวเอง ว่ามีวิตกจริตมาก ก็ให้หมั่นฝึกสมาธิ เพื่อสงบสติอารมณ์ อย่าให้ความคิดลากไป หมั่นสร้างวินัย สร้างกรอบเวลา และหัดมองโลกในแง่ดี
ข้อที่ 2. โทสะจริต ท่านว่า คนที่มีโทสะจริตนั้น จะเป็นคนที่มีจิตขุ่นเคือง ชอบโกรธง่าย โมโหง่าย และมีความคาดหวังว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง จะต้องเป็นไปอย่างที่ตัวเองคิด ชอบชี้ถูกชี้ผิด เจ้าระเบียบ และชอบเคร่งครัดในกฎเกณฑ์ ท่านว่าจุดอ่อน ของคนที่มีโทสะจริตนั้น ก็คือ เป็นคนที่มีจิตขุ่นมัว ร้อนรุ่ม ไม่มีความเมตตา ไม่มีบารมี ไม่มีความคิดสร้างสรรค์ไปในทางดี จึงเป็นคนที่ไม่น่าคบค้าสมาคม ฉะนั้น หากเรารู้ตัวเอง ว่ามีโทสะจริตมาก ก็ให้หมั่นสังเกตดู ที่อารมณ์ตัวเองเป็นประจำ พยายามเจริญเมตตาให้มากๆ และควรคิดก่อนพูด ฟังให้รอบคอบ อย่าไปจริงจังกับโลกให้มาก พยายามเปิดใจให้กว้าง รับความคิดใหม่ๆ และหมั่นพิจารณาถึงโทษ ของความโกรธ
ข้อที่ 3. โมหะจริต ท่านว่า คนที่มีโมหะจริตนั้น จะเป็นคนที่มีอาการ เบื่อๆ เซ็งๆ ดวงตาจะดูเศร้าหมอง พูดจาเบา แต่จะเป็นคนที่นุ่มนวลอ่อนโยน และยิ้มง่าย อารมณ์ดี ไม่ค่อยโกรธใคร แต่เพราะการไม่ชอบทำตัวเด่น ไม่ชอบเข้าสังคม จึงทำให้การเดินทางในชีวิต ขาดจุดมุ่งหมาย ไร้ความมั่นคง ท่านว่าจุดอ่อน ของคนที่มีโมหะจริตนั้น ก็คือ เป็นคนที่ไม่มีความมั่นใจ จึงมองตัวเอง ต่ำกว่าความเป็นจริง และชอบโทษตัวเองอยู่เสมอ ซึ่งบางคนก็ชอบหมกมุ่น อยู่แต่ในเรื่องตัวเอง ไม่สนใจคนอื่น และไม่รู้จักจัดระบบความคิด จึงทำให้เสมือนไม่มีความรู้ สมาธิอ่อน และเบื่อง่าย มีอารมณ์อ่อนไหวใจน้อย ขาดความเป็นผู้นำ ฉะนั้นหากเรารู้ตัวเอง ว่ามีโมหะจริตมาก ก็ให้รู้จักตั้งเป้าหมายในชีวิตให้ชัดเจน หมั่นฝึกสมาธิ สร้างพลังจิตให้เข้มแข็ง หมั่นแสวงหาความรู้ และรู้จักจัดระบบความคิด รู้จักสร้างความแปลกใหม่ อย่าทำอะไรซ้ำซากจำเจ ในชีวิตให้มากเกินไป
ข้อที่ 4. ศรัทธาจริต ท่านว่า คนที่มีศรัทธาจริตนั้น จะเป็นคนที่มีความยึดมั่นถือมั่น อย่างแรงกล้าในตัวบุคคล คือ มีความเชื่อถือ มีความศรัทธา คิดว่าตัวเองนั้นเป็นคนดี มีความน่าศรัทธากว่าคนอื่น ท่านว่าจุดอ่อน ของคนที่มีศรัทธาจริตนั้น ก็คือ เป็นคนหูเบา มีความเชื่ออยู่เหนือเหตุผล จึงมักจะถูกหลอกได้ง่าย ยิ่งมีศรัทธามาก ปัญญาก็จะยิ่งลดลงไปด้วย ทำให้มีจิตใจคับแคบ ไม่ยอมรับความคิดที่แตกต่าง ฉะนั้น หากเรารู้ตัวเอง ว่ามีศรัทธาจริตมาก ก็ให้นึกถึงกาลามสูตร โดยไม่เชื่อสิ่งใดอย่างงมงาย ควรใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริง ถึงคุณโทษ หรือดีไม่ดีก่อนจะเชื่อ โดยใช้หลักเหตุผล พิจารณาเหนือความเชื่อ ใช้ปัญญานำทาง และใช้ศรัทธาขับเคลื่อน เปิดใจกว้างรับความคิดใหม่ๆ ลดความยึดมั่นในตัวบุคคล หรืออุดมการณ์ ลดความยึดมั่นในตัวเราของเรา
ข้อที่ 5. พุทธิจริต ท่านว่า คนที่มีพุทธิจริตนั้น จะเป็นคนที่คิดอะไรเป็นเหตุเป็นผล ชอบมองเรื่องต่างๆ ตามสภาพความเป็นจริง ไม่ชอบปรุงแต่ง และพร้อมที่จะรับความคิดเห็น ที่แตกต่างไปจากของตนเอง ชอบเรียนรู้ ชอบสังเกตุ และมีความเมตตา ไม่เอาเปรียบคนอื่น จึงทำให้มีหน้าตาผ่องใส ไม่ค่อยจะมีความทุกข์มากนัก ท่านว่าจุดอ่อน ของคนที่มีพุทธิจริตนั้น ก็คือ เป็นคนที่มีความเฉื่อยฉา ไม่ชอบพัฒนาจิตวิญญาณ ดังนั้น ถึงแม้ชีวิตจะราบรื่น แต่หากต้องเผชิญกับพลังในด้านลบ ก็อาจจะเอาตัวเองไม่รอด เพราะไม่มีความเป็นผู้นำ จิตไม่มีพลัง พอที่จะดึงดูดคน ฉะนั้นหากเรารู้ตัวเอง ว่ามีพุทธิจริตมาก ก็ให้ถามตัวเองว่า เราพอใจหรือไม่ กับสภาพความเป็นอยู่ในปัจจุบัน และหมั่นเพิ่มพลังสติ สมาธิ พัฒนาจิตใจ ให้มีพลังขับเคลื่อนที่แรงขึ้น หมั่นเพิ่มความเมตา และพยายามทำประโยชน์ ให้กับสังคมให้มากขึ้น
ข้อที่ 6. ราคะจริต ท่านว่า คนที่มีราคะจริตนั้น จะเป็นคนที่มีบุคลิกค่อนข้างดี มีมาด และมีน้ำเสียงนุ่มนวลไพเราะ แต่เป็นคนที่ติดอยู่ ในความสวยงาม ความหอม ความไพเราะ ความอร่อย และก็ชอบจินตนาการ และชอบเพ้อฝันอีกด้วย ท่านว่าจุดอ่อน ของคนที่มีราคะจริตนั้น ก็คือ เป็นคนที่ไม่ค่อยมีสมาธิ จึงทำอะไรไม่ค่อยคิด เวลาทำงานใหญ่ๆ จึงทำได้ยาก เพราะชีวิตไม่มีเป้าหมาย ไม่มีความเป็นผู้นำ ชอบพูดคำหวาน แต่ไม่มีความจริงใจ และยังชอบอิจฉาริษยาคนอื่น ฉะนั้นหากเรารู้ตัวเอง ว่ามีราคะจริตมาก วิธีแก้ไข้ ก็คือ ให้เราพิจารณา ถึงโทษของจิตที่ขาดสมาธิ และหมั่นฝึกพลังจิตให้มีสมาธิเข้มแข็ง พยายามหาเป้าหมายของชีวิตให้แน่นอน และหมั่นพิจารณาถึง สิ่งปฏิกูลต่างๆ ของร่างกาย เพื่อลดการติดในรูป รส เสียง กลิ่น และสัมผัส ครับ
ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิดในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญกับทุกท่าน ที่มีส่วนร่วมในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ
สวัสดีครับคุณผู้ชมคุณผู้ฟังทุกท่าน ที่ติดตามรับชมภูริฟิล์ม คลิบนี้นะครับผมจะมาพูดคุย ในเรื่องของ วิธีการอ่านใจคน ศาสตร์แห่งการเรียนรู้จุดอ่อน ด้วยจริต 6 ประการ ซึ่งในเรื่องนี้ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่า ภูเขาสามารถถล่มมาเป็นถนน แม่น้ำสามารถเปลี่ยนทางเดิน แต่นิสัยใจคอคน ยากแท้ที่จะเปลี่ยนได้ ซึ่งคำว่าจริตนั้น ก็หมายถึง สภาวะจิตของคนตามธรรมชาติ สามารถแบ่งออกได้ ๖ ประเภทใหญ่ๆ นั่นก็คือ
1. วิตกจริต คือคนที่มีสภาวะจิต ชอบกังวล สับสนวุ่นวาย และฟุ้งซ่านตลอดเวลา
2. โทสะจริต คือคนที่มีสภาวะจิตโกรธง่าย โมโหง่าย และมีอารมณ์ฉุนเฉียว
3. โมหะจริต คือคนที่มีสภาวะจิต อยู่ในอาการซึมเศร้า เศร้าหมอง เบื่อๆ เซ็งๆ
4. ศรัทธาจริต คือคนที่มีสภาวะจิต มีความคิด มีปรัชญา มีหลักการเป็นของตัวเอง
5. พุทธิจริต คือคนที่มีสภาวะจิต มุ่งเน้นในการใช้ปัญญาไตร่ตรอง คิดหาเหตุผล มาแก้ปัญหาต่างๆ ในชีวิต 6. ราคะจริต คือคนที่มีสภาวะจิต หลงติดในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส จนเป็นอารมณ์ ท่านว่าจริตทั้ง 6 ประการนี้ เป็นสภาวะจิตที่เราควรจะเรียนรู้ เพื่อจะได้รู้เรารู้เขารู้ทันคน ซึ่งขยายความได้ดังนี้
ข้อที่ 1. วิตกจริต ท่านว่า คนที่มีวิตกจริตนั้น จะเป็นคนที่ชอบพูด ชอบคิด และมีความฟุ้งซ่าน ชอบอยู่ในโลกแห่งความคิด มากกว่าโลกความเป็นจริง จึงมองโลกในแง่ร้าย ชอบคิดว่าคนอื่น จะมาเอารัดเอาเปรียบ และจะมากลั่นแกล้งตัวเองอยู่เสมอ จึงทำให้มีใบหน้าบึ้งตึง ไม่ค่อยยิ้ม เจ้ากี้เจ้าการ และอัตตาสูง เพราะคิดว่าตัวเองเก่ง ท่านว่าจุดอ่อน ของคนที่มีวิตกจริตนั้น ก็คือ เป็นคนที่ชอบเปลี่ยนแปลง ความคิดอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้จุดยืนกลับไปกลับมา กลายเป็นคนไม่รักษาสัญญา มีแต่ความคิด แต่ไม่มีความรู้สึก จึงมักจะลังแล และตัดใจผิดพลาด ชอบทะเลาะวิวาท ทำร้ายจิตใจ เอารัดเอาเปรียบผู้อื่นอยู่เสมอ จึงทำให้ตัวเองมีความทุกข์ เพราะมองเห็นแต่ปัญหา แต่ไม่รู้จักวิธีแก้ไขที่ถูกต้อง ฉะนั้นหากเรารู้ตัวเอง ว่ามีวิตกจริตมาก ก็ให้หมั่นฝึกสมาธิ เพื่อสงบสติอารมณ์ อย่าให้ความคิดลากไป หมั่นสร้างวินัย สร้างกรอบเวลา และหัดมองโลกในแง่ดี
ข้อที่ 2. โทสะจริต ท่านว่า คนที่มีโทสะจริตนั้น จะเป็นคนที่มีจิตขุ่นเคือง ชอบโกรธง่าย โมโหง่าย และมีความคาดหวังว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง จะต้องเป็นไปอย่างที่ตัวเองคิด ชอบชี้ถูกชี้ผิด เจ้าระเบียบ และชอบเคร่งครัดในกฎเกณฑ์ ท่านว่าจุดอ่อน ของคนที่มีโทสะจริตนั้น ก็คือ เป็นคนที่มีจิตขุ่นมัว ร้อนรุ่ม ไม่มีความเมตตา ไม่มีบารมี ไม่มีความคิดสร้างสรรค์ไปในทางดี จึงเป็นคนที่ไม่น่าคบค้าสมาคม ฉะนั้น หากเรารู้ตัวเอง ว่ามีโทสะจริตมาก ก็ให้หมั่นสังเกตดู ที่อารมณ์ตัวเองเป็นประจำ พยายามเจริญเมตตาให้มากๆ และควรคิดก่อนพูด ฟังให้รอบคอบ อย่าไปจริงจังกับโลกให้มาก พยายามเปิดใจให้กว้าง รับความคิดใหม่ๆ และหมั่นพิจารณาถึงโทษ ของความโกรธ
ข้อที่ 3. โมหะจริต ท่านว่า คนที่มีโมหะจริตนั้น จะเป็นคนที่มีอาการ เบื่อๆ เซ็งๆ ดวงตาจะดูเศร้าหมอง พูดจาเบา แต่จะเป็นคนที่นุ่มนวลอ่อนโยน และยิ้มง่าย อารมณ์ดี ไม่ค่อยโกรธใคร แต่เพราะการไม่ชอบทำตัวเด่น ไม่ชอบเข้าสังคม จึงทำให้การเดินทางในชีวิต ขาดจุดมุ่งหมาย ไร้ความมั่นคง ท่านว่าจุดอ่อน ของคนที่มีโมหะจริตนั้น ก็คือ เป็นคนที่ไม่มีความมั่นใจ จึงมองตัวเอง ต่ำกว่าความเป็นจริง และชอบโทษตัวเองอยู่เสมอ ซึ่งบางคนก็ชอบหมกมุ่น อยู่แต่ในเรื่องตัวเอง ไม่สนใจคนอื่น และไม่รู้จักจัดระบบความคิด จึงทำให้เสมือนไม่มีความรู้ สมาธิอ่อน และเบื่อง่าย มีอารมณ์อ่อนไหวใจน้อย ขาดความเป็นผู้นำ ฉะนั้นหากเรารู้ตัวเอง ว่ามีโมหะจริตมาก ก็ให้รู้จักตั้งเป้าหมายในชีวิตให้ชัดเจน หมั่นฝึกสมาธิ สร้างพลังจิตให้เข้มแข็ง หมั่นแสวงหาความรู้ และรู้จักจัดระบบความคิด รู้จักสร้างความแปลกใหม่ อย่าทำอะไรซ้ำซากจำเจ ในชีวิตให้มากเกินไป
ข้อที่ 4. ศรัทธาจริต ท่านว่า คนที่มีศรัทธาจริตนั้น จะเป็นคนที่มีความยึดมั่นถือมั่น อย่างแรงกล้าในตัวบุคคล คือ มีความเชื่อถือ มีความศรัทธา คิดว่าตัวเองนั้นเป็นคนดี มีความน่าศรัทธากว่าคนอื่น ท่านว่าจุดอ่อน ของคนที่มีศรัทธาจริตนั้น ก็คือ เป็นคนหูเบา มีความเชื่ออยู่เหนือเหตุผล จึงมักจะถูกหลอกได้ง่าย ยิ่งมีศรัทธามาก ปัญญาก็จะยิ่งลดลงไปด้วย ทำให้มีจิตใจคับแคบ ไม่ยอมรับความคิดที่แตกต่าง ฉะนั้น หากเรารู้ตัวเอง ว่ามีศรัทธาจริตมาก ก็ให้นึกถึงกาลามสูตร โดยไม่เชื่อสิ่งใดอย่างงมงาย ควรใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริง ถึงคุณโทษ หรือดีไม่ดีก่อนจะเชื่อ โดยใช้หลักเหตุผล พิจารณาเหนือความเชื่อ ใช้ปัญญานำทาง และใช้ศรัทธาขับเคลื่อน เปิดใจกว้างรับความคิดใหม่ๆ ลดความยึดมั่นในตัวบุคคล หรืออุดมการณ์ ลดความยึดมั่นในตัวเราของเรา
ข้อที่ 5. พุทธิจริต ท่านว่า คนที่มีพุทธิจริตนั้น จะเป็นคนที่คิดอะไรเป็นเหตุเป็นผล ชอบมองเรื่องต่างๆ ตามสภาพความเป็นจริง ไม่ชอบปรุงแต่ง และพร้อมที่จะรับความคิดเห็น ที่แตกต่างไปจากของตนเอง ชอบเรียนรู้ ชอบสังเกตุ และมีความเมตตา ไม่เอาเปรียบคนอื่น จึงทำให้มีหน้าตาผ่องใส ไม่ค่อยจะมีความทุกข์มากนัก ท่านว่าจุดอ่อน ของคนที่มีพุทธิจริตนั้น ก็คือ เป็นคนที่มีความเฉื่อยฉา ไม่ชอบพัฒนาจิตวิญญาณ ดังนั้น ถึงแม้ชีวิตจะราบรื่น แต่หากต้องเผชิญกับพลังในด้านลบ ก็อาจจะเอาตัวเองไม่รอด เพราะไม่มีความเป็นผู้นำ จิตไม่มีพลัง พอที่จะดึงดูดคน ฉะนั้นหากเรารู้ตัวเอง ว่ามีพุทธิจริตมาก ก็ให้ถามตัวเองว่า เราพอใจหรือไม่ กับสภาพความเป็นอยู่ในปัจจุบัน และหมั่นเพิ่มพลังสติ สมาธิ พัฒนาจิตใจ ให้มีพลังขับเคลื่อนที่แรงขึ้น หมั่นเพิ่มความเมตา และพยายามทำประโยชน์ ให้กับสังคมให้มากขึ้น
ข้อที่ 6. ราคะจริต ท่านว่า คนที่มีราคะจริตนั้น จะเป็นคนที่มีบุคลิกค่อนข้างดี มีมาด และมีน้ำเสียงนุ่มนวลไพเราะ แต่เป็นคนที่ติดอยู่ ในความสวยงาม ความหอม ความไพเราะ ความอร่อย และก็ชอบจินตนาการ และชอบเพ้อฝันอีกด้วย ท่านว่าจุดอ่อน ของคนที่มีราคะจริตนั้น ก็คือ เป็นคนที่ไม่ค่อยมีสมาธิ จึงทำอะไรไม่ค่อยคิด เวลาทำงานใหญ่ๆ จึงทำได้ยาก เพราะชีวิตไม่มีเป้าหมาย ไม่มีความเป็นผู้นำ ชอบพูดคำหวาน แต่ไม่มีความจริงใจ และยังชอบอิจฉาริษยาคนอื่น ฉะนั้นหากเรารู้ตัวเอง ว่ามีราคะจริตมาก วิธีแก้ไข้ ก็คือ ให้เราพิจารณา ถึงโทษของจิตที่ขาดสมาธิ และหมั่นฝึกพลังจิตให้มีสมาธิเข้มแข็ง พยายามหาเป้าหมายของชีวิตให้แน่นอน และหมั่นพิจารณาถึง สิ่งปฏิกูลต่างๆ ของร่างกาย เพื่อลดการติดในรูป รส เสียง กลิ่น และสัมผัส ครับ
ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิดในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญกับทุกท่าน ที่มีส่วนร่วมในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น