สิริมงคล 8 ประการ เสริมบุญบารมี ให้ชีวิตรุ่งเรืองตลอดไป
PURIFILM สร้างแรงบันดาลใจ ให้คติธรรม นำพลังสร้างชีวิต
สวัสดีครับคุณผู้ชมคุณผู้ฟังทุกท่าน ที่ติดตามรับชมภูริฟิล์ม คลิบนี้นะครับผมจะมาพูดคุยในเรื่องของ สิริมงคล ๘ ประการ ที่เป็นข้อปฏิบัติ เสริมบุญบารมี ให้ชีวิตรุ่งเรืองตลอดไป ซึ่งในเรื่องนี้ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่า ถ้าผู้ใดรักษาสิริ หรือสิริมงคล ทั้ง 8 ประการนี้ได้ ก็จะทำให้เทวดารักษาและคุ้มครอง ซึ่งเป็นสิริมงคลแก่ตนนักยิ่ง ส่วนคำว่า สิริ ก็มีความหมายอยู่ด้วยกัน 2 ประการ นั่นก็คือ
1. สิริ แปลว่า รวมกัน อย่างเช่น เรามักได้ยินคำว่า สิริรวมอายุได้เท่านั้นได้เท่านี้ อันหมายความถึง รวมอายุได้ทั้งหมด
2. สิริ ที่แปลว่า ศรี, มิ่งขวัญ, มงคล, ความดี, ความงาม คือ สิ่งที่เกิดขึ้น หรือมีอยู่ ในตัวบุคคลผู้ทำความดี และเมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น หรือมีอยู่ ในตัวผู้ใดแล้ว ก็จะทำให้คนผู้นั้น เกิดความสุข ความเจริญรุ่งเรือง และความดีงามต่างๆ
ซึ่งอาจจะใกล้กับคำว่า โชควาสนานั่นเอง ซึ่งตามหลักโหราศาสตร์ มีความเชื่อว่า สิริ มีอยู่ในตัวเราทุกคน หากแต่ว่าใคร จะรู้จัก รักษาสิริให้อยู่กับตนเองได้ดีกว่า หรือทำลายสิริของตนเองเสีย ส่วนหลักเกณฑ์ หรือข้อปฏิบัติ ในการรักษาสิรินั้น ท่านว่ามีอยู่ 8 ประการ ซึ่งหากผู้ใดปฏิบัติ ตามหลักเกณฑ์ทั้ง 8 ประการนี้ได้ เทวดาฝ่ายดี ก็จะรักษา และอำนวยอวยพรให้คนผู้นั้น มีความสุข ความเจริญ บังเกิดโชคลาภอยู่เสมอ แต่ถ้าหากผู้ใดรักษาไม่ได้ เทวดาที่เป็นฝ่ายกาลกิณี ก็จะเข้ามาอยู่ให้โทษ ให้อาภัพอับโชค และเสื่อมถอยคุณงามความดี ซึ่งข้อปฏิบัติทั้ง 8 ประการ มีดังต่อไปนี้
1. ให้เว้นจากการเสพกาม หรือ (มีเพศสัมพันธ์) ในวันที่ตรงกับวันพระ และก่อนถึงวันพระ 1 วัน อันได้แก่วัน 7 ค่ำ 8 ค่ำ และ 14 ค่ำ 15 ค่ำ คือทั้งข้างขึ้น และข้างแรม และทั้งวันแรม 13 ค่ำ เฉพาะในเดือนคี่ และรวมทั้งวันตรุษสงกรานต์ วันสุริยคราส จันทรคราส วันเข้าพรรษา และวันเกิดของตนเองด้วย ซึ่งการที่ท่านห้ามเสพกามในวันพระ และวันเข้าพรรษานั้น เพราะวันดังกล่าว เป็นวันที่พระพุทธเจ้า ท่านกำหนดให้เป็นวันฟังธรรม ที่เรียกว่า วันธัมมัสสวนะ (อ่านว่า ทำ-มัด-สะ-วะ-นะ) ซึ่งเป็นวันที่เทวดา และมนุษย์ ต้องขวนขวายทำความดีชำระกิเลส ชาวพุทธส่วนใหญ่ ก็จะถือศีล 5 หรือศีล 8 และสวดมนต์ภาวนา เพื่ออบรมตนให้ไกลจากกิเลส ส่วนวันตรุษสงการณ์ ถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ไทย เป็นวันที่เหมาะสำหรับการทำบุญ เพื่อตอนรับสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิต ดังนั้น จึงไม่ควรเสพกาม ส่วนวันสุริยคราส จันทรคราส ถือว่า เป็นวันอัปมงคล หากเสพกามในวันนี้ จะทำให้วิญญาณของภูต ผี ปีศาจ และเปรต อสุรกาย มาจุติในท้อง ส่วนวันเกิดของตนเอง เป็นวันที่ต้องทำบุญตอบแทนพระคุณพ่อแม่ เพราะวันที่เราลืมตาดูโลกนั้น เป็นวันที่แม่เจ็บปวดทรมานที่สุด ดังคำที่ว่า วันเกิดของลูก คือวันคล้ายกับวันตายของแม่ ดังนั้น เมื่อถึงวันเกิดของตนเองเมื่อใด เราก็ควรที่จะไปกราบเท้าพ่อแม่ ทำให้ท่านมีความสุข เพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณของท่าน
2. เมื่อจะบริโภคอาหาร ให้หันหน้าไปสู่ทิศบูรพา (ทิศตะวันออก) ท่านว่าถ้าทำได้ดังนี้ เทวดาจะรักใคร่ และให้ศีลให้พร ในข้อนี้เป็นปริศนาธรรม เพราะคนโบราณวางไว้ให้คิด ซึ่งคำว่าทิศบูรพานี้ นอกจากจะแปลว่าทิศตะวันออกแล้ว ยังแปลว่า ทิศเบื้องหน้าด้วย ซึ่งทิศเบื้องหน้านี้ ท่านหมายถึง บิดามารดาของเราเอง กล่าวคือ เมื่อเราได้สิ่งใดที่อร่อยมา ท่านให้นึกถึงบิดามารดาเป็นอันดับแรก เราต้องให้มารดาบิดากินก่อน เพราะพ่อแม่เป็นพระพรหมของลูก การที่เราให้ข้าวให้น้ำแก่พ่อแม่ จึงเป็นสิริมงคลสูงสุดแก่ชีวิต เทวดาทั้งหลาย ตลอดถึง พระพุทธเจ้าก็ทรงสรรเสริญ และอีกอย่างหนึ่ง ทิศเบื้องหน้านี้ ก็ยังหมายถึง การมองหาคนอื่น ที่พอจะแบ่งปันอาหาร ที่เรามีอยู่นี้แก่เขาบ้าง ซึ่งเป็นการแสดงออกถึง ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ละความเห็นแก่ตัวให้น้อยลง ซึ่งจะมีส่วนช่วยทำให้คนในสังคม อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
3. เมื่อจะถ่ายอุจจาระ ให้หันหน้าไปทางทิศปัจฉิม ท่านว่าถ้าทำได้อย่างนี้ เทวดาจะรักใคร่ และอวยพรให้ ซึ่งข้อนี้อธิบายได้ว่า อุจจาระนั้น หมายถึงสิ่งที่ไม่ดี หรือเรื่องที่ทำให้เกิดความทุกข์ เกิดความเสียใจ ตลอดถึงกิเลสตัณหาต่างๆ สิ่งเหล่านี้ท่านบอกว่า ทิ้งได้ให้ทิ้งเสีย เพราะเก็บไว้ นอกจากจะไม่เป็นประโยชน์แล้ว ยังสร้างโทษให้กับตัวเราอีกด้วย เปรียบเหมือนกับอุจจาระ ที่เก็บไว้ ก็มีแต่จะเป็นทุกข์ ท่านจึงให้บ่ายหน้าไปทางทิศปัจฉิม เพราะปัจฉิมในภาษาพระ ได้แก่ทิศเบื้องหลัง คือ ทิ้งแล้วให้หันหลังกลับ ไม่ต้องกลับไปมอง ทิ้งไว้ข้างหลัง เหมือนกับอุจจาระทิ้งแล้ว ก็ไม่เสียดาย ความทุกข์ก็เช่นกัน เมื่อทิ้งไปแล้วก็อย่าเสียดายมัน
4. ชายหญิงที่นอนด้วยกัน ต้องให้ผู้หญิงนอนข้างซ้าย ผู้ชายนอนข้างขวา และฝ่ายหญิงห้ามเดินข้ามเท้าฝ่ายชาย ท่านว่าถ้าปฏิบัติได้ดังนี้ เทวดาจะรักษา และอำนวยอวยพรให้ ซึ่งสิริมงคลข้อนี้ เป็นปริศนาธรรม สอนการใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน ระหว่างชายหญิง ว่าทำอย่างไร จึงจะเป็นสิริมงคล คือ มีความดีงาม มีความสุข มีความอบอุ่น และเจริญรุ่งเรือง ซึ่งการนอนร่วมกัน ก็หมายถึง การตกลงปลงใจเป็นสามีภรรยากัน การให้รู้จักฐานะ และหน้าที่ของแต่ละคน สามีนอนข้างขวา หมายถึง เป็นผู้ที่รับภาระหนักทุกอย่าง ในฐานะเป็นหัวหน้าครอบครัว ส่วนผู้หญิง ให้นอนข้างซ้าย หมายถึง ให้ช่วยประคับประคองสามี คอยช่วยเหลือเกื้อกูล ในยามที่สามีต้องรับภาระหนัก เหมือนกับการยกของ ถ้าใช้มือขวายกไม่ไหว ก็ใช้มือซ้ายเข้าช่วย ส่วนการที่ว่า ไม่ให้ฝ่ายหญิง เดินข้ามเท้าฝ่ายชาย ก็หมายความว่า ให้ภรรยา มีความเคารพต่อสามี ในฐานะเป็นผู้หาเลี้ยงครอบครัว ไม่ก้าวล้ำเส้น คิดจะเป็นหัวหน้าครอบครัวเอง เพราะบางคู่ ภรรยาถือทิฐิ คิดว่าตัวเองเก่งกว่า เหนือกว่า จึงดูถูก ข่มเหง ดุด่าสามีสารพัด ทำให้ครอบครัวนั้น ขาดความงาม ไม่เจริญ และหาความสุขไม่มี จึงทำให้สังคมดูแคลน
5. ชายหญิงที่อยู่ด้วยกัน ท่านห้ามไม่ให้ ใช้ผ้านุ่งร่วมกัน และให้แยกว่า ชุดไหน เป็นชุดสำหรับใส่กลางคืน ชุดไหนเป็นชุด สำหรับใส่กลางวัน ถ้าใช้ผ้านุ่งร่วมกัน หรือเอาชุดกลางคืนมาใส่กลางวัน เอาชุดกลางวันไปใส่กลางคืน ท่านว่าจะเสียศรี ดูไม่เหมาะ เทวดาจะรังเกียจ และไม่อำนวยอวยพรให้ คำว่าผ้านุ่งในที่นี้ ท่านหมายถึง เรื่องภายในครอบครัว ผ้านุ่งกลางวัน หมายถึงเรื่องที่ดี ที่เกิดขึ้นภายในครอบครัว ที่ควรนำมาเปิดเผย ให้คนได้รับรู้ เหมือนเสื้อผ้าที่สวยงาม ควรนุ่งอวดให้คนเห็น ส่วนผ้านุ่งในเวลากลางคืน หมายถึง เรื่องที่ไม่ดี เรื่องเสียหาย เรื่องไม่งาม ภายในครอบครัว ไม่ควรจะนำมาเปิดเผย เหมือนชุดนอน ไม่ควรนุ่งมาอวดในที่สาธารณะ หรือตามห้างสรรพสินค้า ส่วนสามีภรรยา ที่อยู่ร่วมกันแล้ว ต้องรู้จักแยกแยะว่า เรื่องส่วนตัว หรือเรื่องในครอบครัว และเรื่องไหนที่ควรเปิดเผย เรื่องไหนที่ควรปกปิด โดยเฉพาะเรื่องไม่ดีของคู่ครอง ที่นำมาเปิดเผยแล้ว ทำให้เขาเสียหาย หรืออับอาย แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ดี เรื่องที่น่าภูมิใจ ก็นำมาเปิดเผยได้ ท่านว่าถ้าทำได้แบบนี้ สิริ คือความสุข ความร่มเย็น และความเป็นมงคล ก็จะเกิดขึ้นภายในครอบครัว
6. เวลาหลังตื่นนอน ก่อนออกจากบ้านให้เอาน้ำล้างหน้า ตกแต่งใบหน้า ให้ดูดีสวยงาม จึงจะเป็นมงคลแก่ชีวิต เทวดาก็จะตามรักษา และอำนวยอวยพร ให้โชคดีทั้งวัน ซึ่งคนโบราณเชื่อว่า ราศี หรือสิ่งที่จะทำให้เรา เกิดความโชคดีนั้น อยู่ที่ใบหน้า ดังนั้น ท่านจึงให้เราล้างหน้า ทำความสะอาด และตกแต่งใบหน้า ให้ดูดีเสมอ ก่อนออกจากบ้าน ซึ่งความจริงแล้วในข้อนี้ ก็ไม่ได้หมายถึง เฉพาะการแต่งหน้าแต่งตา ให้ดูสวยดูดีเท่านั้น แต่ยังหมายถึง การทำใบหน้า ให้เบิกบานแจ่มใส มีรอยยิ้ม ไม่บูดบึ้ง และอารมณ์ดีอีกด้วย เพราะเพียงการแต่งหน้าให้สวยงาม แต่ใบหน้าบึ้งตึง ก็คงไม่ช่วยให้ราศีดีขึ้น กลับกัน ถ้าใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส อารมณ์ดีเบิกบาน ถึงจะไม่แต่งหน้าทาปาก ก็ยังจะดูดีมีเสน่ห์
7. เวลาเที่ยง ให้เอาน้ำพรมที่หน้าอกตรงหัวใจ ท่านว่า ถ้าทำได้อย่างนี้ จะเกิดสิริมงคลแก่ตนเอง เพราะคนโบราณบอกว่า เวลาเที่ยง ราศีจะย้ายจากใบหน้ามาอยู่ที่อก ดังนั้น หากเราเอาน้ำมาพรมที่อก ก็จะทำให้รู้สึกสดชื่น มีโชคลาภ การงานเจริญรุ่งเรือง แต่ในความเป็นจริงแล้ว เวลาเที่ยงวัน เป็นเวลาที่อากาศร้อนจัด เหงื่อไหลไคลย้อย เนื้อตัวเหนียวเหนอะหนะ ทำให้อารมณ์เสีย และหงุดหงิดง่าย และก็จะทำให้การงานที่ทำอยู่เสียหาย ท่านจึงให้เราเอาน้ำลูบอก เพื่อดับความร้อนในร่างกาย เพราะจะช่วยทำให้จิตใจเย็นลง แต่บางคนนั้น สถานที่อาจจะไม่เอื้ออำนวย หรือไม่สะดวก ที่จะนำน้ำมาลูบอก ท่านว่าก็ไม่เป็นไร เพราะอันที่จริงในข้อนี้ ท่านต้องการให้เรา ใช้หลักความใจเย็น คือ ทำอะไรให้ใจเย็นๆ อย่าผลีผลามวู่วาม เพราะถ้าใจร้อน บวกกับอากาศที่ร้อน ก็จะก่อให้เกิด การทะเลาะเบาะแว้งได้ง่าย
8. เวลาเย็น ให้เอาน้ำล้างเท้าก่อนเข้านอน เพราะคนโบราณเชื่อกันว่า ตอนเย็นราศีของคน จะอยู่ที่หัวแม่เท้า และใจกลางเท้า ดังนั้น ถ้าได้ล้างเท้าก่อนเข้านอน ก็จะทำให้นอนหลับฝันดี เทวดาก็คุ้มครอง อวยพรให้โชคให้ลาภ และป้องกันอันตราย ไม่ให้เกิดขึ้น แต่ความจริงแล้วในข้อนี้ ท่านหมายถึง เมื่อถึงเวลาเข้านอนแล้ว ให้เราปล่อยวางธุระทั้งหมดทิ้งเสีย ด้วยการเข้านอนพักผ่อนให้เต็มที่ เก็บกำลังเตรียมความพร้อม สู้งานต่อในวันถัดไป และเมื่อเราทำได้อย่างนี้ ก็จะทำให้มีกำลังต่อสู้กับงาน ได้อีกนาน ฉะนั้น การดูแลสุขภาพ การพักผ่อนให้เพียงพอ จึงมีความสำคัญ มากพอกับการทำงานหาเงิน เพราะหากมีเงินมากๆ จะมีประโยชน์อะไร ถ้าเราต้องเอาเงิน ที่หามาได้ ไปเป็นค่ารักษาตัวเราเอง ดังนั้น ท่านจึงให้เราปล่อยวางธุระ และพักผ่อนนอนหลับให้เต็มที่ เมื่อถึงเวลาที่เราจะต้องพักผ่อน
ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่า สิริมงคลทั้ง 8 ประการนี้ เป็นข้อปฏิบัติ ที่คนรุ่นปู่ย่าตายายได้บัญญัติไว้ ซึ่งหากใครปฏิบัติตามได้ ก็จะเกิดความสุขความเจริญอย่างยิ่ง แต่การจะให้มีความสุข ความเจริญได้อย่างบริบูรณ์นั้น เราก็ต้องรู้จักประยุกต์ใช้ให้ถูกต้อง และหากท่านใด ปฏิบัติตามวิธีการรักษาสิริมงคง ทั้ง 8 ประการนี้ไว้ได้ ความเป็นสิริ ความเป็นมงคล และความสุข ความเจริญ ก็จะบังเกิดแก่ตัวเราเองอย่างแน่นอน ครับ
ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิดในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญกับทุกท่าน ที่มีส่วนร่วมในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ
สวัสดีครับคุณผู้ชมคุณผู้ฟังทุกท่าน ที่ติดตามรับชมภูริฟิล์ม คลิบนี้นะครับผมจะมาพูดคุยในเรื่องของ สิริมงคล ๘ ประการ ที่เป็นข้อปฏิบัติ เสริมบุญบารมี ให้ชีวิตรุ่งเรืองตลอดไป ซึ่งในเรื่องนี้ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่า ถ้าผู้ใดรักษาสิริ หรือสิริมงคล ทั้ง 8 ประการนี้ได้ ก็จะทำให้เทวดารักษาและคุ้มครอง ซึ่งเป็นสิริมงคลแก่ตนนักยิ่ง ส่วนคำว่า สิริ ก็มีความหมายอยู่ด้วยกัน 2 ประการ นั่นก็คือ
1. สิริ แปลว่า รวมกัน อย่างเช่น เรามักได้ยินคำว่า สิริรวมอายุได้เท่านั้นได้เท่านี้ อันหมายความถึง รวมอายุได้ทั้งหมด
2. สิริ ที่แปลว่า ศรี, มิ่งขวัญ, มงคล, ความดี, ความงาม คือ สิ่งที่เกิดขึ้น หรือมีอยู่ ในตัวบุคคลผู้ทำความดี และเมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น หรือมีอยู่ ในตัวผู้ใดแล้ว ก็จะทำให้คนผู้นั้น เกิดความสุข ความเจริญรุ่งเรือง และความดีงามต่างๆ
ซึ่งอาจจะใกล้กับคำว่า โชควาสนานั่นเอง ซึ่งตามหลักโหราศาสตร์ มีความเชื่อว่า สิริ มีอยู่ในตัวเราทุกคน หากแต่ว่าใคร จะรู้จัก รักษาสิริให้อยู่กับตนเองได้ดีกว่า หรือทำลายสิริของตนเองเสีย ส่วนหลักเกณฑ์ หรือข้อปฏิบัติ ในการรักษาสิรินั้น ท่านว่ามีอยู่ 8 ประการ ซึ่งหากผู้ใดปฏิบัติ ตามหลักเกณฑ์ทั้ง 8 ประการนี้ได้ เทวดาฝ่ายดี ก็จะรักษา และอำนวยอวยพรให้คนผู้นั้น มีความสุข ความเจริญ บังเกิดโชคลาภอยู่เสมอ แต่ถ้าหากผู้ใดรักษาไม่ได้ เทวดาที่เป็นฝ่ายกาลกิณี ก็จะเข้ามาอยู่ให้โทษ ให้อาภัพอับโชค และเสื่อมถอยคุณงามความดี ซึ่งข้อปฏิบัติทั้ง 8 ประการ มีดังต่อไปนี้
1. ให้เว้นจากการเสพกาม หรือ (มีเพศสัมพันธ์) ในวันที่ตรงกับวันพระ และก่อนถึงวันพระ 1 วัน อันได้แก่วัน 7 ค่ำ 8 ค่ำ และ 14 ค่ำ 15 ค่ำ คือทั้งข้างขึ้น และข้างแรม และทั้งวันแรม 13 ค่ำ เฉพาะในเดือนคี่ และรวมทั้งวันตรุษสงกรานต์ วันสุริยคราส จันทรคราส วันเข้าพรรษา และวันเกิดของตนเองด้วย ซึ่งการที่ท่านห้ามเสพกามในวันพระ และวันเข้าพรรษานั้น เพราะวันดังกล่าว เป็นวันที่พระพุทธเจ้า ท่านกำหนดให้เป็นวันฟังธรรม ที่เรียกว่า วันธัมมัสสวนะ (อ่านว่า ทำ-มัด-สะ-วะ-นะ) ซึ่งเป็นวันที่เทวดา และมนุษย์ ต้องขวนขวายทำความดีชำระกิเลส ชาวพุทธส่วนใหญ่ ก็จะถือศีล 5 หรือศีล 8 และสวดมนต์ภาวนา เพื่ออบรมตนให้ไกลจากกิเลส ส่วนวันตรุษสงการณ์ ถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ไทย เป็นวันที่เหมาะสำหรับการทำบุญ เพื่อตอนรับสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิต ดังนั้น จึงไม่ควรเสพกาม ส่วนวันสุริยคราส จันทรคราส ถือว่า เป็นวันอัปมงคล หากเสพกามในวันนี้ จะทำให้วิญญาณของภูต ผี ปีศาจ และเปรต อสุรกาย มาจุติในท้อง ส่วนวันเกิดของตนเอง เป็นวันที่ต้องทำบุญตอบแทนพระคุณพ่อแม่ เพราะวันที่เราลืมตาดูโลกนั้น เป็นวันที่แม่เจ็บปวดทรมานที่สุด ดังคำที่ว่า วันเกิดของลูก คือวันคล้ายกับวันตายของแม่ ดังนั้น เมื่อถึงวันเกิดของตนเองเมื่อใด เราก็ควรที่จะไปกราบเท้าพ่อแม่ ทำให้ท่านมีความสุข เพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณของท่าน
2. เมื่อจะบริโภคอาหาร ให้หันหน้าไปสู่ทิศบูรพา (ทิศตะวันออก) ท่านว่าถ้าทำได้ดังนี้ เทวดาจะรักใคร่ และให้ศีลให้พร ในข้อนี้เป็นปริศนาธรรม เพราะคนโบราณวางไว้ให้คิด ซึ่งคำว่าทิศบูรพานี้ นอกจากจะแปลว่าทิศตะวันออกแล้ว ยังแปลว่า ทิศเบื้องหน้าด้วย ซึ่งทิศเบื้องหน้านี้ ท่านหมายถึง บิดามารดาของเราเอง กล่าวคือ เมื่อเราได้สิ่งใดที่อร่อยมา ท่านให้นึกถึงบิดามารดาเป็นอันดับแรก เราต้องให้มารดาบิดากินก่อน เพราะพ่อแม่เป็นพระพรหมของลูก การที่เราให้ข้าวให้น้ำแก่พ่อแม่ จึงเป็นสิริมงคลสูงสุดแก่ชีวิต เทวดาทั้งหลาย ตลอดถึง พระพุทธเจ้าก็ทรงสรรเสริญ และอีกอย่างหนึ่ง ทิศเบื้องหน้านี้ ก็ยังหมายถึง การมองหาคนอื่น ที่พอจะแบ่งปันอาหาร ที่เรามีอยู่นี้แก่เขาบ้าง ซึ่งเป็นการแสดงออกถึง ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ละความเห็นแก่ตัวให้น้อยลง ซึ่งจะมีส่วนช่วยทำให้คนในสังคม อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข
3. เมื่อจะถ่ายอุจจาระ ให้หันหน้าไปทางทิศปัจฉิม ท่านว่าถ้าทำได้อย่างนี้ เทวดาจะรักใคร่ และอวยพรให้ ซึ่งข้อนี้อธิบายได้ว่า อุจจาระนั้น หมายถึงสิ่งที่ไม่ดี หรือเรื่องที่ทำให้เกิดความทุกข์ เกิดความเสียใจ ตลอดถึงกิเลสตัณหาต่างๆ สิ่งเหล่านี้ท่านบอกว่า ทิ้งได้ให้ทิ้งเสีย เพราะเก็บไว้ นอกจากจะไม่เป็นประโยชน์แล้ว ยังสร้างโทษให้กับตัวเราอีกด้วย เปรียบเหมือนกับอุจจาระ ที่เก็บไว้ ก็มีแต่จะเป็นทุกข์ ท่านจึงให้บ่ายหน้าไปทางทิศปัจฉิม เพราะปัจฉิมในภาษาพระ ได้แก่ทิศเบื้องหลัง คือ ทิ้งแล้วให้หันหลังกลับ ไม่ต้องกลับไปมอง ทิ้งไว้ข้างหลัง เหมือนกับอุจจาระทิ้งแล้ว ก็ไม่เสียดาย ความทุกข์ก็เช่นกัน เมื่อทิ้งไปแล้วก็อย่าเสียดายมัน
4. ชายหญิงที่นอนด้วยกัน ต้องให้ผู้หญิงนอนข้างซ้าย ผู้ชายนอนข้างขวา และฝ่ายหญิงห้ามเดินข้ามเท้าฝ่ายชาย ท่านว่าถ้าปฏิบัติได้ดังนี้ เทวดาจะรักษา และอำนวยอวยพรให้ ซึ่งสิริมงคลข้อนี้ เป็นปริศนาธรรม สอนการใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน ระหว่างชายหญิง ว่าทำอย่างไร จึงจะเป็นสิริมงคล คือ มีความดีงาม มีความสุข มีความอบอุ่น และเจริญรุ่งเรือง ซึ่งการนอนร่วมกัน ก็หมายถึง การตกลงปลงใจเป็นสามีภรรยากัน การให้รู้จักฐานะ และหน้าที่ของแต่ละคน สามีนอนข้างขวา หมายถึง เป็นผู้ที่รับภาระหนักทุกอย่าง ในฐานะเป็นหัวหน้าครอบครัว ส่วนผู้หญิง ให้นอนข้างซ้าย หมายถึง ให้ช่วยประคับประคองสามี คอยช่วยเหลือเกื้อกูล ในยามที่สามีต้องรับภาระหนัก เหมือนกับการยกของ ถ้าใช้มือขวายกไม่ไหว ก็ใช้มือซ้ายเข้าช่วย ส่วนการที่ว่า ไม่ให้ฝ่ายหญิง เดินข้ามเท้าฝ่ายชาย ก็หมายความว่า ให้ภรรยา มีความเคารพต่อสามี ในฐานะเป็นผู้หาเลี้ยงครอบครัว ไม่ก้าวล้ำเส้น คิดจะเป็นหัวหน้าครอบครัวเอง เพราะบางคู่ ภรรยาถือทิฐิ คิดว่าตัวเองเก่งกว่า เหนือกว่า จึงดูถูก ข่มเหง ดุด่าสามีสารพัด ทำให้ครอบครัวนั้น ขาดความงาม ไม่เจริญ และหาความสุขไม่มี จึงทำให้สังคมดูแคลน
5. ชายหญิงที่อยู่ด้วยกัน ท่านห้ามไม่ให้ ใช้ผ้านุ่งร่วมกัน และให้แยกว่า ชุดไหน เป็นชุดสำหรับใส่กลางคืน ชุดไหนเป็นชุด สำหรับใส่กลางวัน ถ้าใช้ผ้านุ่งร่วมกัน หรือเอาชุดกลางคืนมาใส่กลางวัน เอาชุดกลางวันไปใส่กลางคืน ท่านว่าจะเสียศรี ดูไม่เหมาะ เทวดาจะรังเกียจ และไม่อำนวยอวยพรให้ คำว่าผ้านุ่งในที่นี้ ท่านหมายถึง เรื่องภายในครอบครัว ผ้านุ่งกลางวัน หมายถึงเรื่องที่ดี ที่เกิดขึ้นภายในครอบครัว ที่ควรนำมาเปิดเผย ให้คนได้รับรู้ เหมือนเสื้อผ้าที่สวยงาม ควรนุ่งอวดให้คนเห็น ส่วนผ้านุ่งในเวลากลางคืน หมายถึง เรื่องที่ไม่ดี เรื่องเสียหาย เรื่องไม่งาม ภายในครอบครัว ไม่ควรจะนำมาเปิดเผย เหมือนชุดนอน ไม่ควรนุ่งมาอวดในที่สาธารณะ หรือตามห้างสรรพสินค้า ส่วนสามีภรรยา ที่อยู่ร่วมกันแล้ว ต้องรู้จักแยกแยะว่า เรื่องส่วนตัว หรือเรื่องในครอบครัว และเรื่องไหนที่ควรเปิดเผย เรื่องไหนที่ควรปกปิด โดยเฉพาะเรื่องไม่ดีของคู่ครอง ที่นำมาเปิดเผยแล้ว ทำให้เขาเสียหาย หรืออับอาย แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ดี เรื่องที่น่าภูมิใจ ก็นำมาเปิดเผยได้ ท่านว่าถ้าทำได้แบบนี้ สิริ คือความสุข ความร่มเย็น และความเป็นมงคล ก็จะเกิดขึ้นภายในครอบครัว
6. เวลาหลังตื่นนอน ก่อนออกจากบ้านให้เอาน้ำล้างหน้า ตกแต่งใบหน้า ให้ดูดีสวยงาม จึงจะเป็นมงคลแก่ชีวิต เทวดาก็จะตามรักษา และอำนวยอวยพร ให้โชคดีทั้งวัน ซึ่งคนโบราณเชื่อว่า ราศี หรือสิ่งที่จะทำให้เรา เกิดความโชคดีนั้น อยู่ที่ใบหน้า ดังนั้น ท่านจึงให้เราล้างหน้า ทำความสะอาด และตกแต่งใบหน้า ให้ดูดีเสมอ ก่อนออกจากบ้าน ซึ่งความจริงแล้วในข้อนี้ ก็ไม่ได้หมายถึง เฉพาะการแต่งหน้าแต่งตา ให้ดูสวยดูดีเท่านั้น แต่ยังหมายถึง การทำใบหน้า ให้เบิกบานแจ่มใส มีรอยยิ้ม ไม่บูดบึ้ง และอารมณ์ดีอีกด้วย เพราะเพียงการแต่งหน้าให้สวยงาม แต่ใบหน้าบึ้งตึง ก็คงไม่ช่วยให้ราศีดีขึ้น กลับกัน ถ้าใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส อารมณ์ดีเบิกบาน ถึงจะไม่แต่งหน้าทาปาก ก็ยังจะดูดีมีเสน่ห์
7. เวลาเที่ยง ให้เอาน้ำพรมที่หน้าอกตรงหัวใจ ท่านว่า ถ้าทำได้อย่างนี้ จะเกิดสิริมงคลแก่ตนเอง เพราะคนโบราณบอกว่า เวลาเที่ยง ราศีจะย้ายจากใบหน้ามาอยู่ที่อก ดังนั้น หากเราเอาน้ำมาพรมที่อก ก็จะทำให้รู้สึกสดชื่น มีโชคลาภ การงานเจริญรุ่งเรือง แต่ในความเป็นจริงแล้ว เวลาเที่ยงวัน เป็นเวลาที่อากาศร้อนจัด เหงื่อไหลไคลย้อย เนื้อตัวเหนียวเหนอะหนะ ทำให้อารมณ์เสีย และหงุดหงิดง่าย และก็จะทำให้การงานที่ทำอยู่เสียหาย ท่านจึงให้เราเอาน้ำลูบอก เพื่อดับความร้อนในร่างกาย เพราะจะช่วยทำให้จิตใจเย็นลง แต่บางคนนั้น สถานที่อาจจะไม่เอื้ออำนวย หรือไม่สะดวก ที่จะนำน้ำมาลูบอก ท่านว่าก็ไม่เป็นไร เพราะอันที่จริงในข้อนี้ ท่านต้องการให้เรา ใช้หลักความใจเย็น คือ ทำอะไรให้ใจเย็นๆ อย่าผลีผลามวู่วาม เพราะถ้าใจร้อน บวกกับอากาศที่ร้อน ก็จะก่อให้เกิด การทะเลาะเบาะแว้งได้ง่าย
8. เวลาเย็น ให้เอาน้ำล้างเท้าก่อนเข้านอน เพราะคนโบราณเชื่อกันว่า ตอนเย็นราศีของคน จะอยู่ที่หัวแม่เท้า และใจกลางเท้า ดังนั้น ถ้าได้ล้างเท้าก่อนเข้านอน ก็จะทำให้นอนหลับฝันดี เทวดาก็คุ้มครอง อวยพรให้โชคให้ลาภ และป้องกันอันตราย ไม่ให้เกิดขึ้น แต่ความจริงแล้วในข้อนี้ ท่านหมายถึง เมื่อถึงเวลาเข้านอนแล้ว ให้เราปล่อยวางธุระทั้งหมดทิ้งเสีย ด้วยการเข้านอนพักผ่อนให้เต็มที่ เก็บกำลังเตรียมความพร้อม สู้งานต่อในวันถัดไป และเมื่อเราทำได้อย่างนี้ ก็จะทำให้มีกำลังต่อสู้กับงาน ได้อีกนาน ฉะนั้น การดูแลสุขภาพ การพักผ่อนให้เพียงพอ จึงมีความสำคัญ มากพอกับการทำงานหาเงิน เพราะหากมีเงินมากๆ จะมีประโยชน์อะไร ถ้าเราต้องเอาเงิน ที่หามาได้ ไปเป็นค่ารักษาตัวเราเอง ดังนั้น ท่านจึงให้เราปล่อยวางธุระ และพักผ่อนนอนหลับให้เต็มที่ เมื่อถึงเวลาที่เราจะต้องพักผ่อน
ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่า สิริมงคลทั้ง 8 ประการนี้ เป็นข้อปฏิบัติ ที่คนรุ่นปู่ย่าตายายได้บัญญัติไว้ ซึ่งหากใครปฏิบัติตามได้ ก็จะเกิดความสุขความเจริญอย่างยิ่ง แต่การจะให้มีความสุข ความเจริญได้อย่างบริบูรณ์นั้น เราก็ต้องรู้จักประยุกต์ใช้ให้ถูกต้อง และหากท่านใด ปฏิบัติตามวิธีการรักษาสิริมงคง ทั้ง 8 ประการนี้ไว้ได้ ความเป็นสิริ ความเป็นมงคล และความสุข ความเจริญ ก็จะบังเกิดแก่ตัวเราเองอย่างแน่นอน ครับ
ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิดในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญกับทุกท่าน ที่มีส่วนร่วมในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น