วิธีเอาชนะอุปสรรคปัญหา ในช่วงโรคระบาด ด้วยธรรมะ 4 ประการ
PURIFILM สร้างแรงบันดาลใจ ให้คติธรรม นำพลังสร้างชีวิต
สวัสดีครับคุณผู้ชมคุณผู้ฟังทุกท่าน ที่ติดตามรับชมภูริฟิล์ม คลิบนี้นะครับผมจะมาพูดคุย ในเรื่องของวิธีเอาชนะอุปสรรคปัญหา ในช่วงโรคระบาด ด้วยหลักธรรมทั้ง 4 ประการ ซึ่งในเรื่องนี้ครูบาอาจารย์ ท่านให้ข้อคิดเตือนสติว่า ในช่วงนี้เราทุกคน ต่างก็พบเจอ กับอุปสรรคปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องเงิน หรือแม้แต่เรื่องธุรกิจค้าขาย เราต่างก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน ดังนั้น การที่เราจะเอาชนะ กับอุปสรรคปัญหาเหล่านี้ได้ เราจึงจำเป็นจะต้องมี หลักธรรม 4 ประการ ดังต่อไปนี้ เพื่อดึงสติมาไว้กับตัว เป็นขวัญกำลังใจให้เรา
ซึ่งหลักธรรมทั้ง 4 ประการ นั่นก็คือ
1. สัจจะ ความจริง
2. ธรรม ความประพฤติชอบ
3. ธิติ ความเพียร
4. จาคะ ความเสียสละ
ท่านว่าหลักธรรมทั้ง 4 ประการนี้ จะนำพาให้เรารอดพ้น จากวิกฤตโรคระบาดไปได้ และยังสร้างแรงบันดาลใจ ให้กำลังเราเป็นอย่างดี ซึ่งหลักธรรมทั้ง 4 ประการ สามารถขยายความได้ดังต่อไปนี้
ข้อที่ 1. สัจจะ ความจริง
ท่านว่า ความจริงนี้ ก็สามารถแบ่งได้เป็น 2 อย่าง นั่นก็คือ 1. จริงใจ 2. จริงวาจา ซึ่งความจริงใจ ก็คือ การตั้งใจมั่น มีจิตจำนง ที่จะทำการสิ่งใด ก็พยายามทำสิ่งนั้น จนสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี แม้อาจจะมีอุปสรรคปัญหาต่างๆ เข้ามาขัดขวาง เราก็จะไม่ย่อท้อ ไม่หวาดหวั่น ต่ออุปสรรคปัญหาต่างๆ เหล่านั้น ท่านว่าถ้าเราทำได้อย่างนี้ ก็ขึ้นชื่อว่า มีความจริงใจแล้ว ส่วนจริงวาจานั้น ก็คือ การเจรจาแต่คำจริง หรือพูดแต่คำจริง โดยไม่โกหกหลอกลวง หรือนำเอาสิ่งมดเท็จ มาหลอกลวงให้คนอื่นลุ่มหลง และเมื่อพูดคำใดไปแล้ว ก็มั่นคงไม่กลับกลอก เป็นคำพูดที่คงที่ ท่านว่า การพูดถ้อยคำจริงนั้น มันง่ายกว่าการพูดเท็จเป็นอย่างมาก เพราะเราไม่ต้องกลัวว่าจะรู้สึกผิด แต่การพูดเท็จนั้น เราจะต้องระวังตัวอยู่ตลอดเวลา เพราะกลัวว่าคนอื่นจะจับพิรุธได้ ฉะนั้น คนที่ชอบพูดเท็จ พูดโกหกหลอกลวงอยู่เป็นประจำ จึงมักจะเอาตัวไม่รอด เพราะในวันหนึ่ง คนอื่นก็จะต้องจับได้ และเมื่อจับได้แล้ว ต่อไปก็จะยากที่จะมีใครเชื่อถือ ยิ่งหากคำเท็จ คำโกหกเหล่านั้น เป็นการหลอกลวง ให้ผู้อื่นเสื่อมเสียจากประโยชน์ด้วยแล้ว ก็ยิ่งจะทำให้คนอื่น หมดความเคารพนับถือ และคุณธรรมใดๆ ที่เคยมีอยู่ ก็จะพลอยสูญสิ้นไปด้วย เพราะตนเองขาดสัจจะความจริง
ข้อที่ 2. ธรรม ความประพฤติชอบ
ท่านว่า หากใครประพฤติธรรม ธรรม ก็จะรักษาคนนั้นเอาไว้ เพื่อไม่ให้ตกลงไปในที่ชั่ว ซึ่งคำว่าธรรมนี้ ก็เป็นคำกลางๆ มีมาแล้วแต่สมัยโบราณกาล ท่านว่า หากเราขาดปัญญา ที่เลือกสรรเอามาใช้ ธรรมนี้ ก็เป็นได้ ทั้งส่วนดี และส่วนชั่ว ซึ่งในส่วนดีนั้นท่านว่า ถ้าเราเติมคำว่ากุศลเข้าไป ก็จะเป็นกุศลธรรม อันหมายถึง ธรรมในส่วนดี ซึ่งโดยทางธรรมนั้น ก็คือ สุจริต อย่างเช่น ความประพฤติชอบ ด้วยกาย วาจา และใจ ส่วนความหมายที่ไปในทางชั่ว หากเราก็เติมคำว่าอกุศลเข้าไป ก็จะกลายเป็นอกุศลธรรม อันหมายถึง ธรรมในส่วนชั่ว ซึ่งโดยทางธรรมก็คือ ทุจริตนั่นเอง อย่างเช่น ความประพฤติชั่ว ด้วยกาย วาจา และใจ
ข้อที่ 3. ธิติ ความเพียร
ท่านว่า ความเพียรนี้ เป็นเครื่องตั้งมั่น อันได้แก่ ความพยายาม ความบากบั่น ความก้าวหน้า ดังนั้น ถ้าเราเป็นผู้พากเพียร เพื่อจะตั้งตัวในทางใดทางหนึ่งแล้ว ถ้ายังไม่บรรลุไปถึงสิ่งนั้น เราก็ไม่ควรถอย เราควรจะพยายามต่อไป ดังคำที่ว่า ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จย่อมอยู่ที่นั่น แต่หากเราพยายามทำแล้ว แม้จะไม่สำเร็จผลอย่างที่ตั้งใจไว้ มันก็ยังได้รับความสบายใจว่า เราได้ลงมือทำแล้ว จนสุดกำลังความสามารถ ท่านว่า ผู้ปฏิบัติธรรมก็เช่นกัน หากได้สมาทานศีลอย่างเคร่งครัดแล้ว บำเพ็ญปฏิบัติภาวนาอย่างแข็งแรงแล้ว เราก็ไม่ควรละการสมาทานนั้น เราควรจะพากเพียรบากบั่นต่อไป ประพฤติให้ยั่งยืน จนกว่าจะได้รับผล
ข้อที่ 4. จาคะ ความเสียสละ
ท่านว่า ความเสียสละนี้ ก็ได้แก่ การบริจาคทรัพย์ หรือการให้สิ่งของ เป็นต้น เพราะธรรมดาแล้ว การที่เราอยู่ร่วมกัน ก็จะต้องมีการสงเคราะห์ เกื้อกูลกันตามฐานะ อย่างเช่น พ่อแม่กับลูก ญาติกับญาติ สามีกับภรรยา หรือมิตรกับมิตร เราจะต้องรู้จักเจือจานกัน รู้จักให้กัน แบ่งปันกัน เพราะการให้นี้ เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจกัน ส่วนความเหนียวแน่น หวงแหน เสียดายทรัพย์สมบัติของตนเอง โดยไม่ปรารถนา ที่จะแบ่งปันให้กับคนอื่น ท่านว่า คนแบบนี้ ในที่สุด ตนเองก็เบียดเบียนตนเอง ที่เขาเรียกว่า ความตระหนี่นั่นเอง ซึ่งจะตรงข้ามกับจาคะ เพราะคนตระหนี่ จะไม่ต้องการช่วยสงเคราะห์คนอื่น มีแต่เห็นแก่ได้อยู่ฝ่ายเดียว ซึ่งคนแบบนี้ ย่อมจะกลัวความหมดเปลือง ไม่ประสงค์จะคบค้าสมาคมกับใคร เพราะมีอัธยาศัยคับแคบ จึงไม่ค่อยมีใครจะมาช่วยเหลือ ในยามที่มีความเดือดร้อน
ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่า หลักธรรมทั้ง 4 ประการนี้ ไม่ว่าจะเป็น สัจจะ ธรรมะ ธิติ และจาคะ หากใครมีอยู่ในตัว ก็จะทำให้คนนั้น เป็นคนที่มีความสัตย์ มีธรรม และเมื่อประกอบกิจการใดๆ ก็จะตั้งใจทำจริง ไม่ย่อท้อ มีความพากเพียรพยายาม จนกว่าจะสำเร็จลุล่วง ท่านว่า บุคคลเช่นนี้ ย่อมจะไม่เป็นที่รังเกียจของคนอื่น แม้ผู้ที่เป็นศัตรูอยู่ก่อนแล้ว เมื่อได้ประสพอัธยาศัยอันดีงามนี้ ก็ย่อมละจากความเป็นศัตรู มีแต่จะอุปถัมภ์ค้ำชู ให้ได้รับความสุขยิ่งๆ ขึ้นไปอีก ท่านว่าหากเรายึดถือประพฤติปฏิบัติ ตามหลักธรรมทั้ง 4 ประการนี้ จะได้ชื่อว่า เป็นผู้ปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรมครับ
ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิดในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญกับทุกท่าน ที่มีส่วนร่วมในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ
สวัสดีครับคุณผู้ชมคุณผู้ฟังทุกท่าน ที่ติดตามรับชมภูริฟิล์ม คลิบนี้นะครับผมจะมาพูดคุย ในเรื่องของวิธีเอาชนะอุปสรรคปัญหา ในช่วงโรคระบาด ด้วยหลักธรรมทั้ง 4 ประการ ซึ่งในเรื่องนี้ครูบาอาจารย์ ท่านให้ข้อคิดเตือนสติว่า ในช่วงนี้เราทุกคน ต่างก็พบเจอ กับอุปสรรคปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องเงิน หรือแม้แต่เรื่องธุรกิจค้าขาย เราต่างก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน ดังนั้น การที่เราจะเอาชนะ กับอุปสรรคปัญหาเหล่านี้ได้ เราจึงจำเป็นจะต้องมี หลักธรรม 4 ประการ ดังต่อไปนี้ เพื่อดึงสติมาไว้กับตัว เป็นขวัญกำลังใจให้เรา
ซึ่งหลักธรรมทั้ง 4 ประการ นั่นก็คือ
1. สัจจะ ความจริง
2. ธรรม ความประพฤติชอบ
3. ธิติ ความเพียร
4. จาคะ ความเสียสละ
ท่านว่าหลักธรรมทั้ง 4 ประการนี้ จะนำพาให้เรารอดพ้น จากวิกฤตโรคระบาดไปได้ และยังสร้างแรงบันดาลใจ ให้กำลังเราเป็นอย่างดี ซึ่งหลักธรรมทั้ง 4 ประการ สามารถขยายความได้ดังต่อไปนี้
ข้อที่ 1. สัจจะ ความจริง
ท่านว่า ความจริงนี้ ก็สามารถแบ่งได้เป็น 2 อย่าง นั่นก็คือ 1. จริงใจ 2. จริงวาจา ซึ่งความจริงใจ ก็คือ การตั้งใจมั่น มีจิตจำนง ที่จะทำการสิ่งใด ก็พยายามทำสิ่งนั้น จนสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี แม้อาจจะมีอุปสรรคปัญหาต่างๆ เข้ามาขัดขวาง เราก็จะไม่ย่อท้อ ไม่หวาดหวั่น ต่ออุปสรรคปัญหาต่างๆ เหล่านั้น ท่านว่าถ้าเราทำได้อย่างนี้ ก็ขึ้นชื่อว่า มีความจริงใจแล้ว ส่วนจริงวาจานั้น ก็คือ การเจรจาแต่คำจริง หรือพูดแต่คำจริง โดยไม่โกหกหลอกลวง หรือนำเอาสิ่งมดเท็จ มาหลอกลวงให้คนอื่นลุ่มหลง และเมื่อพูดคำใดไปแล้ว ก็มั่นคงไม่กลับกลอก เป็นคำพูดที่คงที่ ท่านว่า การพูดถ้อยคำจริงนั้น มันง่ายกว่าการพูดเท็จเป็นอย่างมาก เพราะเราไม่ต้องกลัวว่าจะรู้สึกผิด แต่การพูดเท็จนั้น เราจะต้องระวังตัวอยู่ตลอดเวลา เพราะกลัวว่าคนอื่นจะจับพิรุธได้ ฉะนั้น คนที่ชอบพูดเท็จ พูดโกหกหลอกลวงอยู่เป็นประจำ จึงมักจะเอาตัวไม่รอด เพราะในวันหนึ่ง คนอื่นก็จะต้องจับได้ และเมื่อจับได้แล้ว ต่อไปก็จะยากที่จะมีใครเชื่อถือ ยิ่งหากคำเท็จ คำโกหกเหล่านั้น เป็นการหลอกลวง ให้ผู้อื่นเสื่อมเสียจากประโยชน์ด้วยแล้ว ก็ยิ่งจะทำให้คนอื่น หมดความเคารพนับถือ และคุณธรรมใดๆ ที่เคยมีอยู่ ก็จะพลอยสูญสิ้นไปด้วย เพราะตนเองขาดสัจจะความจริง
ข้อที่ 2. ธรรม ความประพฤติชอบ
ท่านว่า หากใครประพฤติธรรม ธรรม ก็จะรักษาคนนั้นเอาไว้ เพื่อไม่ให้ตกลงไปในที่ชั่ว ซึ่งคำว่าธรรมนี้ ก็เป็นคำกลางๆ มีมาแล้วแต่สมัยโบราณกาล ท่านว่า หากเราขาดปัญญา ที่เลือกสรรเอามาใช้ ธรรมนี้ ก็เป็นได้ ทั้งส่วนดี และส่วนชั่ว ซึ่งในส่วนดีนั้นท่านว่า ถ้าเราเติมคำว่ากุศลเข้าไป ก็จะเป็นกุศลธรรม อันหมายถึง ธรรมในส่วนดี ซึ่งโดยทางธรรมนั้น ก็คือ สุจริต อย่างเช่น ความประพฤติชอบ ด้วยกาย วาจา และใจ ส่วนความหมายที่ไปในทางชั่ว หากเราก็เติมคำว่าอกุศลเข้าไป ก็จะกลายเป็นอกุศลธรรม อันหมายถึง ธรรมในส่วนชั่ว ซึ่งโดยทางธรรมก็คือ ทุจริตนั่นเอง อย่างเช่น ความประพฤติชั่ว ด้วยกาย วาจา และใจ
ข้อที่ 3. ธิติ ความเพียร
ท่านว่า ความเพียรนี้ เป็นเครื่องตั้งมั่น อันได้แก่ ความพยายาม ความบากบั่น ความก้าวหน้า ดังนั้น ถ้าเราเป็นผู้พากเพียร เพื่อจะตั้งตัวในทางใดทางหนึ่งแล้ว ถ้ายังไม่บรรลุไปถึงสิ่งนั้น เราก็ไม่ควรถอย เราควรจะพยายามต่อไป ดังคำที่ว่า ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จย่อมอยู่ที่นั่น แต่หากเราพยายามทำแล้ว แม้จะไม่สำเร็จผลอย่างที่ตั้งใจไว้ มันก็ยังได้รับความสบายใจว่า เราได้ลงมือทำแล้ว จนสุดกำลังความสามารถ ท่านว่า ผู้ปฏิบัติธรรมก็เช่นกัน หากได้สมาทานศีลอย่างเคร่งครัดแล้ว บำเพ็ญปฏิบัติภาวนาอย่างแข็งแรงแล้ว เราก็ไม่ควรละการสมาทานนั้น เราควรจะพากเพียรบากบั่นต่อไป ประพฤติให้ยั่งยืน จนกว่าจะได้รับผล
ข้อที่ 4. จาคะ ความเสียสละ
ท่านว่า ความเสียสละนี้ ก็ได้แก่ การบริจาคทรัพย์ หรือการให้สิ่งของ เป็นต้น เพราะธรรมดาแล้ว การที่เราอยู่ร่วมกัน ก็จะต้องมีการสงเคราะห์ เกื้อกูลกันตามฐานะ อย่างเช่น พ่อแม่กับลูก ญาติกับญาติ สามีกับภรรยา หรือมิตรกับมิตร เราจะต้องรู้จักเจือจานกัน รู้จักให้กัน แบ่งปันกัน เพราะการให้นี้ เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจกัน ส่วนความเหนียวแน่น หวงแหน เสียดายทรัพย์สมบัติของตนเอง โดยไม่ปรารถนา ที่จะแบ่งปันให้กับคนอื่น ท่านว่า คนแบบนี้ ในที่สุด ตนเองก็เบียดเบียนตนเอง ที่เขาเรียกว่า ความตระหนี่นั่นเอง ซึ่งจะตรงข้ามกับจาคะ เพราะคนตระหนี่ จะไม่ต้องการช่วยสงเคราะห์คนอื่น มีแต่เห็นแก่ได้อยู่ฝ่ายเดียว ซึ่งคนแบบนี้ ย่อมจะกลัวความหมดเปลือง ไม่ประสงค์จะคบค้าสมาคมกับใคร เพราะมีอัธยาศัยคับแคบ จึงไม่ค่อยมีใครจะมาช่วยเหลือ ในยามที่มีความเดือดร้อน
ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่า หลักธรรมทั้ง 4 ประการนี้ ไม่ว่าจะเป็น สัจจะ ธรรมะ ธิติ และจาคะ หากใครมีอยู่ในตัว ก็จะทำให้คนนั้น เป็นคนที่มีความสัตย์ มีธรรม และเมื่อประกอบกิจการใดๆ ก็จะตั้งใจทำจริง ไม่ย่อท้อ มีความพากเพียรพยายาม จนกว่าจะสำเร็จลุล่วง ท่านว่า บุคคลเช่นนี้ ย่อมจะไม่เป็นที่รังเกียจของคนอื่น แม้ผู้ที่เป็นศัตรูอยู่ก่อนแล้ว เมื่อได้ประสพอัธยาศัยอันดีงามนี้ ก็ย่อมละจากความเป็นศัตรู มีแต่จะอุปถัมภ์ค้ำชู ให้ได้รับความสุขยิ่งๆ ขึ้นไปอีก ท่านว่าหากเรายึดถือประพฤติปฏิบัติ ตามหลักธรรมทั้ง 4 ประการนี้ จะได้ชื่อว่า เป็นผู้ปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรมครับ
ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิดในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญกับทุกท่าน ที่มีส่วนร่วมในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ

ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น