การทำผิดศีล 5 อย่างละเอียด คนรุ่นใหม่เข้าใจง่ายได้ข้อคิด
PURIFILM สร้างแรงบันดาลใจ ให้คติธรรม นำพลังสร้างชีวิต
สวัสดีครับคุณผู้ชมคุณผู้ฟังทุกท่าน ที่ติดตามรับชมภูริฟิล์ม คลิบนี้ผมจะมาพูดคุยในเรื่องของ การทำผิดศีล 5 อย่างละเอียด ที่คนรุ่นใหม่สามารถจะเข้าใจง่าย ซึ่งครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่า ในศีล 5 แต่ละข้อนั้น ก็มีรายละเอียด หรือมีกฎเกณฑ์ ที่ใช้ในการพิจารณา การกระทำแต่ละอย่าง ว่าผิดศีลหรือไม่ และแตกต่างกันออกไป ซึ่งหลักเกณฑ์โดยทั่วไปนั้น ก็มีดังต่อไปนี้
การผิดศีลข้อที่ 1 ปาณาติบาต (การฆ่าสัตว์)
ท่านว่า การกระทำที่ถือว่า ผิดศีลข้อ 1 อย่างสมบูรณ์นั้น จะต้องประกอบไปด้วย ส่วนประกอบดังนี้
1. สัตว์เหล่านั้นมีชีวิต (คำว่าสัตว์นั้น ก็รวมถึงคนเราด้วย กรณีที่ผู้ถูกฆ่าเป็นคน แต่ไม่รวมถึงพืช)
2. รู้ว่าสัตว์นั้นมีชีวิต (กรณีที่ไม่แน่ใจว่า สัตว์นั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ความผิดก็จะน้อยลงตามไปด้วย)
3. มีจิตคิดจะฆ่า คือมีเจตนาที่จะฆ่าสัตว์นั้น
4. ทำความเพียร เพื่อให้สัตว์นั้นตาย คือ ลงมือฆ่านั่นเอง
5. สัตว์นั้นตายลงด้วยความเพียรนั้น (ถ้าสัตว์นั้นไม่ถึงตาย หรือตายไปด้วยสาเหตุอื่น ความผิดก็จะน้อยลงไป)
ท่านว่าบาปกรรมที่เกิดขึ้น จะมากน้อยเพียงใดนั้น นอกจากจะขึ้นกับความสมบูรณ์ ตามหลักเกณฑ์ 5 ข้อนี้แล้ว ก็ยังขึ้นกับคุณสมบัติของผู้ที่ถูกฆ่า และความพยายามที่ใช้ด้วย ดังนี้คือ ในการฆ่านั้น ถ้าต้องใช้ความพยายามมาก หรือใช้เวลาวางแผน และเตรียมการเป็นเวลานาน ก็จะยิ่งเป็นบาปมาก เพราะจิตจะต้องมีกำลังมาก และต้องเสพอารมณ์นั้นเป็นเวลานาน ดังนั้น การฆ่าสัตว์ใหญ่ จึงเป็นบาปมากกว่าการฆ่าสัตว์เล็ก เพราะต้องใช้ความพยายามมากกว่า ถ้าผู้ที่ถูกฆ่านั้น ยิ่งมีศีลธรรมมาก ก็จะยิ่งเป็นบาปมาก ถ้าผู้ที่ถูกฆ่านั้น มีบุญคุณต่อผู้ที่ฆ่ามาก ก็จะยิ่งเป็นบาปมากขึ้น และการฆ่าที่เป็นบาปมากเป็นพิเศษ ก็คือการฆ่าบิดามารดาของตนเอง และการฆ่าพระอรหันต์
การผิดศีลข้อที่ 2 อทินนาทาน (การลักทรัพย์)
ท่านว่า การกระทำที่ถือว่า ผิดศีลข้อที่ 2 นี้อย่างสมบูรณ์ จะต้องประกอบไปด้วย ส่วนประกอบดังนี้ วัตถุนั้นมีเจ้าของ รู้ว่าวัตถุนั้นมีเจ้าของ มีจิตคิดจะลักขโมยวัตถุนั้น ทำความเพียรเพื่อลัก คือลงมือขโมยนั่นเอง ได้วัตถุนั้นมาด้วยความเพียรนั้น ท่านว่า ศีลข้อนี้ไม่ได้จำกัดอยู่ เพียงการลักขโมยโดยตรงเท่านั้น การลักขโมยโดยอ้อม การฉ้อโกง ก็จัดว่าผิดศีลข้อนี้เช่นเดียวกัน อย่างเช่น การทำให้เขา เสียประโยชน์ที่เขาพึงได้ อย่างเช่น เขาซื้อสินค้าจากเรา 1 กิโลกรัม แต่เราตักให้เขาเพียง 0.9 กิโลกรัม ก็หมายความว่า เราได้ขโมยสินค้านั้น จากลูกค้ามา 0.1 กิโลกรัมนั่นเอง หรือมีคนว่าจ้างให้เรา ทำงานให้เขา 8 ชั่วโมง แต่เราทำให้เขาเพียง 7 ชั่วโมง ก็หมายความว่า เราขโมยเงินจากเขา เท่ากับค่าจ้าง 1 ชั่วโมงเป็นต้น นอกจากนี้ การเลี่ยงภาษีอากรต่างๆ ที่เราจะต้องจ่ายให้รัฐ ก็เป็นเหมือนการที่เรา ขโมยเงินส่วนนั้น จากรัฐเช่นกัน ทำให้รัฐขาดเงินในส่วนนั้นไป ส่วนข้อยกเว้นสำหรับศีลข้อที่ 2 ท่านว่า การกระทำที่คล้ายกับการลักทรัพย์ แต่ไม่ใช่การลักทรัพย์ ก็คือการถือวิสาสะ คือการถือเอาด้วยความสนิทสนม คุ้นเคยกัน ซึ่งการถือวิสาสะ ที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ภิกษุกระทำได้ คือการถือวิสาสะ ที่ประกอบด้วยองค์ 5 คือ (เรากับเจ้าของวัตถุนั้นเป็นผู้) เคยเห็นกันมา (เรากับเจ้าของวัตถุนั้นเป็นผู้) เคยคบกันมา เคยบอกอนุญาตกันไว้ (ว่าให้เอาวัตถุนั้นไปได้) (เจ้าของวัตถุนั้น) เขายังมีชีวิตอยู่ (เพราะถ้าเจ้าของทรัพย์นั้นเสียชีวิตแล้ว วัตถุนั้นย่อมตกเป็นของทายาท เราจึงต้องไปพิจารณาถึงองค์ 5 ในการถือวิสาสะนี้ กับทายาทนั้นต่อไป) และรู้ว่า เมื่อเราถือเอาวัตถุนั้นแล้ว เจ้าของวัตถุนั้น เขาจักพอใจ
การผิดศีลข้อที่ 3 กาเมสุมิจฉาจาร (การประพฤติผิดทางกาม)
ท่านว่า การกระทำที่ถือว่า ผิดศีลข้อ 3 นี้อย่างสมบูรณ์ จะต้องประกอบด้วยส่วนประกอบดังนี้ บุคคลที่ไม่ควรเกี่ยวข้อง (ทางกาม) มีจิตคิดจะเสพ (กาม) ในบุคคลนั้น คือมีเจตนาจะเสพนั่นเอง มีความพยายามเสพ คือกระทำการเสพกามกับบุคคลนั้น มีความยินดี พอใจในการเสพกามนั้น (ไม่ใช่ถูกบังคับ ขืนใจ) บาปกรรมที่เกิดขึ้น จะมากน้อยเพียงใดนั้น ขึ้นกับปัจจัยหลายอย่าง อย่างเช่น การล่วงเกิน ผู้ที่ไม่ยินยอมพร้อมใจด้วย ย่อมมีโทษมากกว่า การล่วงละเมิดผู้ที่มีความยินยอม หรือยินดีด้วยกันทั้งสองฝ่าย การล่วงเกินผู้ที่มีศีลธรรมมาก เช่น พระอรหันต์ ย่อมมีโทษมากกว่า การล่วงละเมิดผู้ไม่มีศีลธรรม บุคคลที่ไม่ควรเกี่ยวข้องนั้น พิจารณาง่ายๆ ก็คือ ผู้ที่มีเจ้าของ หรือผู้ปกครองหวงอยู่ คือ ไม่อนุญาตให้ล่วงเกิน หรืออนุญาตโดยไม่เต็มใจ ซึ่งการล่วงเกินนั้น จะทำให้คนเหล่านั้นไม่พอใจ ทั้งนี้รวมถึงผู้ที่มีระเบียบ กฎเกณฑ์ ข้อบังคับ หรือจารีตประเพณี ห้ามเอาไว้ด้วย อย่างเช่น ภิกษุ ภิกษุณี สามเณร สามเณรี และแม่ชี เป็นต้น ซึ่งนอกจากจะพิจารณา ที่ผู้ที่ถูกล่วงละเมิดแล้ว ยังต้องพิจารณาที่ผู้กระทำ การล่วงละเมิดเองด้วย เช่น ผู้ชายที่มีภรรยาอยู่ ถ้าภรรยาเขาไม่อนุญาต ให้ไปมีเพศสัมพันธ์กับผู้อื่น ถ้าชายคนนั้นไปเสพกามกับใคร (นอกจากกับภรรยาของเขา) ชายผู้นั้น ก็ย่อมจะผิดศีลข้อนี้อย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ใช่บุคคล ที่ไม่ควรเกี่ยวข้องก็ตาม และหญิงใดที่ล่วงละเมิดกับชายผู้นี้ ผู้หญิงคนนั้น ก็ย่อม จะเป็นผู้ที่ผิดศีลในข้อนี้ด้วยเช่นกัน ท่านว่า หญิงที่ชาย ไม่ควรเกี่ยวข้อง มี 20 จำพวก คือ
หญิงที่มีมารดาปกครอง
หญิงที่มีบิดาปกครอง
หญิงที่มีทั้งมารดา และบิดาปกครอง
หญิงที่มีพี่สาวปกครอง หรือมีน้องสาวดูแลรักษา หรือหวงอยู่
หญิงที่มีพี่ชายปกครอง หรือมีน้องชายดูแลรักษา หรือหวงอยู่
หญิงที่มีญาติปกครอง
หญิงที่มีตระกูลเดียวกัน หรือเชื้อชาติเดียวกันเป็นผู้ปกครอง
หญิงที่มีผู้ประพฤติ ปฏิบัติศีลธรรมด้วยกันเป็นผู้ปกครอง เช่น แม่ชี มีหัวหน้าชีปกครองเป็นต้น
หญิงที่กษัตริย์ หรือผู้มีอำนาจได้จองตัวเอาไว้
หญิงที่มีคู่หมั้น หญิงที่ถูกผู้อื่นซื้อตัวมา
หญิงที่สมัครใจไปอยู่กับชาย (คนอื่นแล้ว) คือหญิงที่มีสามีแล้ว
หญิงที่ยอมเป็นภรรยาของชาย (คนอื่นแล้ว) โดยหวังในทรัพย์สินเงินทอง คือหญิงที่มีสามีแล้วอีกประเภทหนึ่ง
ส่วน (ข้อ 12 ถึง 20
คือหญิงที่มีสามีแล้วประเภทต่างๆ ) คือ หญิงที่ยอมเป็นภรรยาของชาย (คนอื่นแล้ว) โดยหวังในเครื่องนุ่งห่ม
หญิงที่มีสามีแล้ว โดยการทำพิธีแต่งงาน
หญิงที่เป็นภรรยาของชายคนอื่น โดยชายคนนั้น เป็นผู้ช่วย ให้พ้นจากการแบกของขาย คือช่วยให้พ้นจากความยากลำบากนั่นเอง
หญิงที่มีสามีแล้ว โดยเมื่อก่อนเป็นเชลย แล้วภายหลัง ตกมาเป็นภรรยาของนายเชลยนั้น
หญิงที่มีสามีแล้ว โดยเมื่อก่อนเป็นลูกจ้าง แล้วภายหลังตกมาเป็นภรรยาของนายจ้างนั้น
หญิงที่มีสามีแล้ว โดยเมื่อก่อนเป็นทาส แล้วภายหลังตกมาเป็นภรรยาของนายทาสนั้น
หญิงที่เป็นภรรยา ของชายชั่วครั้งชั่วคราว แล้วถูกล่วงละเมิด ในขณะที่ทำหน้าที่ เป็นภรรยาของชายคนอื่นอยู่ เช่น หญิงขายบริการ ที่อยู่ในช่วงสัญญากับชายคนหนึ่งอยู่ แต่กลับไปมีสัมพันธ์กับชายอีกคนหนึ่งเป็นต้น
ท่านว่า ทั้งหมดนี้ เป็นการระบุรวบรวมเอาไว้ตั้งแต่สมัยโบราณ บางข้อจึงดูแปลกๆ อยู่บ้าง เพราะประเพณีที่แตกต่างกันออกไป ที่แสดงเอาไว้ ก็เพื่อให้ครบถ้วนตามตำรา และเอาไว้ใช้ในการเทียบเคียง กับยุคปัจจุบัน ส่วนสำหรับผู้ที่ไม่เข้าข่ายต้องห้าม ก็เช่น ชายหญิงที่เป็นสามีภรรยากัน หญิงขายบริการ ที่บิดามารดา และผู้ปกครองทั้งหลาย ยินยอมพร้อมใจให้ทำอาชีพนั้น ทั้งนี้ต้องไม่อยู่ในช่วงสัญญากับคนอื่นด้วย หญิงที่ไม่มีผู้ใดปกครองดูแล และไม่มีเจ้าของหวงอยู่ (คือหญิงที่มีอิสระในตัวเองอย่างแท้จริง) หญิงที่ได้รับความยินยอม จากใจจริงของผู้ปกครอง และผู้ที่เป็นเจ้าของ (เช่น บิดา มารดา สำหรับหญิงที่มีสามีแล้ว ต้องได้รับอนุญาตจากสามีก่อน) โดยทุกกรณี ถ้าฝ่ายชายมีภรรยาแล้ว ต้องได้รับอนุญาตจากภรรยาก่อน ซึ่งโดยสรุปก็คือ จะต้องไม่ทำให้ใคร (ผู้ที่มีสิทธิ์โดยชอบธรรมในตัวหญิงและชายนั้น) ไม่พอใจ หรือรู้สึกเจ็บช้ำน้ำใจนั่นเอง
การผิดศีลข้อที่ 4 มุสาวาท (การพูดปด พูดเท็จ โกหก หลอกลวง)
ท่านว่า การกระทำที่ถือว่า ผิดศีลข้อ 4 นี้อย่างสมบูรณ์ จะต้องประกอบด้วยส่วนประกอบดังนี้ เรื่องราวนั้นไม่เป็นความจริง มีจิตคิดจะมุสา คือมีเจตนา ที่จะโกหก หลอกลวง พยายามด้วยกาย หรือด้วยวาจา หรือวิธีการใดๆ เพื่อจะให้ผู้อื่นเชื่อ ตามเรื่องราวนั้น คือดำเนินการโกหก หลอกลวงนั่นเอง ผู้อื่นเชื่อตามเรื่องราวนั้น ท่านว่า ข้อแตกต่าง ระหว่าง มุสาวาท ปิสุณวาจา (พูดส่อเสียด) ผรุสวาจา (พูดคำหยาบ) และสัมผัปปลาปะ (พูดเพ้อเจ้อ) คือ
1. มุสาวาท คือการพูด หรือการกระทำใดๆ โดยมีเจตนาให้ผู้อื่นเชื่อ ในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง โดยหวังจะให้เขาได้รับความเดือดร้อน เสียหาย หรือเสียประโยชน์อันพึงมีพึงได้ จากความเชื่อนั้น
2. ปิสุณวาจา (พูดส่อเสียด) คือการพูด หรือการกระทำใดๆ ในสิ่งที่เป็นความจริง หรือไม่เป็นความจริงก็ตาม โดยมีเจตนาจะยุยงให้เขาแตกแยกกัน ไม่สามัคคีกัน
3. ผรุสวาจา (พูดคำหยาบ) คือการพูด หรือการกระทำใดๆ ในสิ่งที่เป็นความจริง หรือไม่เป็นความจริงก็ตาม ด้วยคำที่สุภาพ หรือไม่สุภาพก็ตาม โดยมีเจตนาจะให้เขาเจ็บใจ ไม่สบายใจ หรือร้อนใจ (ไม่ได้มีเจตนาให้เขาเชื่อตามนั้นเป็นหลักใหญ่) เช่น การด่าว่าเขาเป็นสัตว์บางชนิดเป็นต้น โดยรู้อยู่แล้วว่า เขาจะไม่เชื่อ แต่จะต้องเจ็บใจ หรือการพูดถึงปมด้อยของเขาที่เป็นจริง การประชดประชันด้วยคำที่สุภาพ เป็นต้น
4. สัมผัปปลาปะ (พูดเพ้อเจ้อ) คือการพูด หรือการกระทำใดๆ ในสิ่งที่เป็นความจริง หรือไม่เป็นความจริงก็ตาม โดยเจตนาเพียงเพื่อ ความสนุกสนาน เพลิดเพลิน ไร้สาระ ไม่มีใครได้ประโยชน์จากการพูด หรือการกระทำนั้น ท่านว่า สำหรับมุสาวาท เป็นทั้งการผิดศีล 5 และเป็นอกุศลกรรม คือเป็นวจีทุจริต ในอกุศลกรรมบถ 10 ส่วนปิสุณวาจา ผรุสวาจา และสัมผัปปลาปะนั้น ไม่ถือเป็นการผิดศีล 5 แต่เป็นอกุศลกรรม คือเป็นวจีทุจริต ในอกุศลกรรมบถ 10
การผิดศีลข้อที่ 5 สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐาน (การเสพสุรา เมรัย และของมึนเมาทั้งหลาย อันทำให้ประมาท หรือขาดสติ)
ท่านว่า แยกรายละเอียดได้ดังนี้คือ สุรา คือ น้ำเมาที่กลั่นแล้ว ได้แก่ เหล้าชนิดต่างๆ นั่นเอง เมรัย คือ น้ำเมาที่ไม่ได้กลั่น, น้ำเมาที่เกิดจากการหมักหรือแช่ เช่น ไวน์ชนิดต่างๆ มัชชะ คือ สิ่งที่เสพแล้วทำให้มึนเมา หรือขาดสติทั้งหลาย เช่น บุหรี่ ยาเสพติดทุกชนิด รวมทั้งเหล้า เบียร์ และสุรา เมรัยทุกชนิดด้วย ท่านว่า การผิดศีลข้อที่ 5 นี้ จัดว่าเป็นอันตรายมาก เพราะทำให้ขาดสติ และเมื่อขาดสติแล้ว การทำผิดทุกชนิด ก็จะตามมาได้โดยง่าย นอกจากนี้ยังจะทำให้ ต้องเสียทรัพย์ไปโดยไม่จำเป็น ทั้งยังเสี่ยงต่ออุบัติเหตุเภทภัยทั้งหลาย ความทะเลาะเบาะแว้ง ทำให้ครอบครัวขาดความอบอุ่น หรืออาจถึงขั้นทำให้ครอบครัวแตกแยกก็เป็นได้ และยังเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ทำให้ขาดการพักผ่อน ซึ่งอาจส่งผลไปถึงหน้าที่การงานของเราอีกด้วยครับ
ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิดในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญกับทุกท่าน ที่มีส่วนร่วมในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ
สวัสดีครับคุณผู้ชมคุณผู้ฟังทุกท่าน ที่ติดตามรับชมภูริฟิล์ม คลิบนี้ผมจะมาพูดคุยในเรื่องของ การทำผิดศีล 5 อย่างละเอียด ที่คนรุ่นใหม่สามารถจะเข้าใจง่าย ซึ่งครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่า ในศีล 5 แต่ละข้อนั้น ก็มีรายละเอียด หรือมีกฎเกณฑ์ ที่ใช้ในการพิจารณา การกระทำแต่ละอย่าง ว่าผิดศีลหรือไม่ และแตกต่างกันออกไป ซึ่งหลักเกณฑ์โดยทั่วไปนั้น ก็มีดังต่อไปนี้
การผิดศีลข้อที่ 1 ปาณาติบาต (การฆ่าสัตว์)
ท่านว่า การกระทำที่ถือว่า ผิดศีลข้อ 1 อย่างสมบูรณ์นั้น จะต้องประกอบไปด้วย ส่วนประกอบดังนี้
1. สัตว์เหล่านั้นมีชีวิต (คำว่าสัตว์นั้น ก็รวมถึงคนเราด้วย กรณีที่ผู้ถูกฆ่าเป็นคน แต่ไม่รวมถึงพืช)
2. รู้ว่าสัตว์นั้นมีชีวิต (กรณีที่ไม่แน่ใจว่า สัตว์นั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ความผิดก็จะน้อยลงตามไปด้วย)
3. มีจิตคิดจะฆ่า คือมีเจตนาที่จะฆ่าสัตว์นั้น
4. ทำความเพียร เพื่อให้สัตว์นั้นตาย คือ ลงมือฆ่านั่นเอง
5. สัตว์นั้นตายลงด้วยความเพียรนั้น (ถ้าสัตว์นั้นไม่ถึงตาย หรือตายไปด้วยสาเหตุอื่น ความผิดก็จะน้อยลงไป)
ท่านว่าบาปกรรมที่เกิดขึ้น จะมากน้อยเพียงใดนั้น นอกจากจะขึ้นกับความสมบูรณ์ ตามหลักเกณฑ์ 5 ข้อนี้แล้ว ก็ยังขึ้นกับคุณสมบัติของผู้ที่ถูกฆ่า และความพยายามที่ใช้ด้วย ดังนี้คือ ในการฆ่านั้น ถ้าต้องใช้ความพยายามมาก หรือใช้เวลาวางแผน และเตรียมการเป็นเวลานาน ก็จะยิ่งเป็นบาปมาก เพราะจิตจะต้องมีกำลังมาก และต้องเสพอารมณ์นั้นเป็นเวลานาน ดังนั้น การฆ่าสัตว์ใหญ่ จึงเป็นบาปมากกว่าการฆ่าสัตว์เล็ก เพราะต้องใช้ความพยายามมากกว่า ถ้าผู้ที่ถูกฆ่านั้น ยิ่งมีศีลธรรมมาก ก็จะยิ่งเป็นบาปมาก ถ้าผู้ที่ถูกฆ่านั้น มีบุญคุณต่อผู้ที่ฆ่ามาก ก็จะยิ่งเป็นบาปมากขึ้น และการฆ่าที่เป็นบาปมากเป็นพิเศษ ก็คือการฆ่าบิดามารดาของตนเอง และการฆ่าพระอรหันต์
การผิดศีลข้อที่ 2 อทินนาทาน (การลักทรัพย์)
ท่านว่า การกระทำที่ถือว่า ผิดศีลข้อที่ 2 นี้อย่างสมบูรณ์ จะต้องประกอบไปด้วย ส่วนประกอบดังนี้ วัตถุนั้นมีเจ้าของ รู้ว่าวัตถุนั้นมีเจ้าของ มีจิตคิดจะลักขโมยวัตถุนั้น ทำความเพียรเพื่อลัก คือลงมือขโมยนั่นเอง ได้วัตถุนั้นมาด้วยความเพียรนั้น ท่านว่า ศีลข้อนี้ไม่ได้จำกัดอยู่ เพียงการลักขโมยโดยตรงเท่านั้น การลักขโมยโดยอ้อม การฉ้อโกง ก็จัดว่าผิดศีลข้อนี้เช่นเดียวกัน อย่างเช่น การทำให้เขา เสียประโยชน์ที่เขาพึงได้ อย่างเช่น เขาซื้อสินค้าจากเรา 1 กิโลกรัม แต่เราตักให้เขาเพียง 0.9 กิโลกรัม ก็หมายความว่า เราได้ขโมยสินค้านั้น จากลูกค้ามา 0.1 กิโลกรัมนั่นเอง หรือมีคนว่าจ้างให้เรา ทำงานให้เขา 8 ชั่วโมง แต่เราทำให้เขาเพียง 7 ชั่วโมง ก็หมายความว่า เราขโมยเงินจากเขา เท่ากับค่าจ้าง 1 ชั่วโมงเป็นต้น นอกจากนี้ การเลี่ยงภาษีอากรต่างๆ ที่เราจะต้องจ่ายให้รัฐ ก็เป็นเหมือนการที่เรา ขโมยเงินส่วนนั้น จากรัฐเช่นกัน ทำให้รัฐขาดเงินในส่วนนั้นไป ส่วนข้อยกเว้นสำหรับศีลข้อที่ 2 ท่านว่า การกระทำที่คล้ายกับการลักทรัพย์ แต่ไม่ใช่การลักทรัพย์ ก็คือการถือวิสาสะ คือการถือเอาด้วยความสนิทสนม คุ้นเคยกัน ซึ่งการถือวิสาสะ ที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ภิกษุกระทำได้ คือการถือวิสาสะ ที่ประกอบด้วยองค์ 5 คือ (เรากับเจ้าของวัตถุนั้นเป็นผู้) เคยเห็นกันมา (เรากับเจ้าของวัตถุนั้นเป็นผู้) เคยคบกันมา เคยบอกอนุญาตกันไว้ (ว่าให้เอาวัตถุนั้นไปได้) (เจ้าของวัตถุนั้น) เขายังมีชีวิตอยู่ (เพราะถ้าเจ้าของทรัพย์นั้นเสียชีวิตแล้ว วัตถุนั้นย่อมตกเป็นของทายาท เราจึงต้องไปพิจารณาถึงองค์ 5 ในการถือวิสาสะนี้ กับทายาทนั้นต่อไป) และรู้ว่า เมื่อเราถือเอาวัตถุนั้นแล้ว เจ้าของวัตถุนั้น เขาจักพอใจ
การผิดศีลข้อที่ 3 กาเมสุมิจฉาจาร (การประพฤติผิดทางกาม)
ท่านว่า การกระทำที่ถือว่า ผิดศีลข้อ 3 นี้อย่างสมบูรณ์ จะต้องประกอบด้วยส่วนประกอบดังนี้ บุคคลที่ไม่ควรเกี่ยวข้อง (ทางกาม) มีจิตคิดจะเสพ (กาม) ในบุคคลนั้น คือมีเจตนาจะเสพนั่นเอง มีความพยายามเสพ คือกระทำการเสพกามกับบุคคลนั้น มีความยินดี พอใจในการเสพกามนั้น (ไม่ใช่ถูกบังคับ ขืนใจ) บาปกรรมที่เกิดขึ้น จะมากน้อยเพียงใดนั้น ขึ้นกับปัจจัยหลายอย่าง อย่างเช่น การล่วงเกิน ผู้ที่ไม่ยินยอมพร้อมใจด้วย ย่อมมีโทษมากกว่า การล่วงละเมิดผู้ที่มีความยินยอม หรือยินดีด้วยกันทั้งสองฝ่าย การล่วงเกินผู้ที่มีศีลธรรมมาก เช่น พระอรหันต์ ย่อมมีโทษมากกว่า การล่วงละเมิดผู้ไม่มีศีลธรรม บุคคลที่ไม่ควรเกี่ยวข้องนั้น พิจารณาง่ายๆ ก็คือ ผู้ที่มีเจ้าของ หรือผู้ปกครองหวงอยู่ คือ ไม่อนุญาตให้ล่วงเกิน หรืออนุญาตโดยไม่เต็มใจ ซึ่งการล่วงเกินนั้น จะทำให้คนเหล่านั้นไม่พอใจ ทั้งนี้รวมถึงผู้ที่มีระเบียบ กฎเกณฑ์ ข้อบังคับ หรือจารีตประเพณี ห้ามเอาไว้ด้วย อย่างเช่น ภิกษุ ภิกษุณี สามเณร สามเณรี และแม่ชี เป็นต้น ซึ่งนอกจากจะพิจารณา ที่ผู้ที่ถูกล่วงละเมิดแล้ว ยังต้องพิจารณาที่ผู้กระทำ การล่วงละเมิดเองด้วย เช่น ผู้ชายที่มีภรรยาอยู่ ถ้าภรรยาเขาไม่อนุญาต ให้ไปมีเพศสัมพันธ์กับผู้อื่น ถ้าชายคนนั้นไปเสพกามกับใคร (นอกจากกับภรรยาของเขา) ชายผู้นั้น ก็ย่อมจะผิดศีลข้อนี้อย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ใช่บุคคล ที่ไม่ควรเกี่ยวข้องก็ตาม และหญิงใดที่ล่วงละเมิดกับชายผู้นี้ ผู้หญิงคนนั้น ก็ย่อม จะเป็นผู้ที่ผิดศีลในข้อนี้ด้วยเช่นกัน ท่านว่า หญิงที่ชาย ไม่ควรเกี่ยวข้อง มี 20 จำพวก คือ
หญิงที่มีมารดาปกครอง
หญิงที่มีบิดาปกครอง
หญิงที่มีทั้งมารดา และบิดาปกครอง
หญิงที่มีพี่สาวปกครอง หรือมีน้องสาวดูแลรักษา หรือหวงอยู่
หญิงที่มีพี่ชายปกครอง หรือมีน้องชายดูแลรักษา หรือหวงอยู่
หญิงที่มีญาติปกครอง
หญิงที่มีตระกูลเดียวกัน หรือเชื้อชาติเดียวกันเป็นผู้ปกครอง
หญิงที่มีผู้ประพฤติ ปฏิบัติศีลธรรมด้วยกันเป็นผู้ปกครอง เช่น แม่ชี มีหัวหน้าชีปกครองเป็นต้น
หญิงที่กษัตริย์ หรือผู้มีอำนาจได้จองตัวเอาไว้
หญิงที่มีคู่หมั้น หญิงที่ถูกผู้อื่นซื้อตัวมา
หญิงที่สมัครใจไปอยู่กับชาย (คนอื่นแล้ว) คือหญิงที่มีสามีแล้ว
หญิงที่ยอมเป็นภรรยาของชาย (คนอื่นแล้ว) โดยหวังในทรัพย์สินเงินทอง คือหญิงที่มีสามีแล้วอีกประเภทหนึ่ง
ส่วน (ข้อ 12 ถึง 20
คือหญิงที่มีสามีแล้วประเภทต่างๆ ) คือ หญิงที่ยอมเป็นภรรยาของชาย (คนอื่นแล้ว) โดยหวังในเครื่องนุ่งห่ม
หญิงที่มีสามีแล้ว โดยการทำพิธีแต่งงาน
หญิงที่เป็นภรรยาของชายคนอื่น โดยชายคนนั้น เป็นผู้ช่วย ให้พ้นจากการแบกของขาย คือช่วยให้พ้นจากความยากลำบากนั่นเอง
หญิงที่มีสามีแล้ว โดยเมื่อก่อนเป็นเชลย แล้วภายหลัง ตกมาเป็นภรรยาของนายเชลยนั้น
หญิงที่มีสามีแล้ว โดยเมื่อก่อนเป็นลูกจ้าง แล้วภายหลังตกมาเป็นภรรยาของนายจ้างนั้น
หญิงที่มีสามีแล้ว โดยเมื่อก่อนเป็นทาส แล้วภายหลังตกมาเป็นภรรยาของนายทาสนั้น
หญิงที่เป็นภรรยา ของชายชั่วครั้งชั่วคราว แล้วถูกล่วงละเมิด ในขณะที่ทำหน้าที่ เป็นภรรยาของชายคนอื่นอยู่ เช่น หญิงขายบริการ ที่อยู่ในช่วงสัญญากับชายคนหนึ่งอยู่ แต่กลับไปมีสัมพันธ์กับชายอีกคนหนึ่งเป็นต้น
ท่านว่า ทั้งหมดนี้ เป็นการระบุรวบรวมเอาไว้ตั้งแต่สมัยโบราณ บางข้อจึงดูแปลกๆ อยู่บ้าง เพราะประเพณีที่แตกต่างกันออกไป ที่แสดงเอาไว้ ก็เพื่อให้ครบถ้วนตามตำรา และเอาไว้ใช้ในการเทียบเคียง กับยุคปัจจุบัน ส่วนสำหรับผู้ที่ไม่เข้าข่ายต้องห้าม ก็เช่น ชายหญิงที่เป็นสามีภรรยากัน หญิงขายบริการ ที่บิดามารดา และผู้ปกครองทั้งหลาย ยินยอมพร้อมใจให้ทำอาชีพนั้น ทั้งนี้ต้องไม่อยู่ในช่วงสัญญากับคนอื่นด้วย หญิงที่ไม่มีผู้ใดปกครองดูแล และไม่มีเจ้าของหวงอยู่ (คือหญิงที่มีอิสระในตัวเองอย่างแท้จริง) หญิงที่ได้รับความยินยอม จากใจจริงของผู้ปกครอง และผู้ที่เป็นเจ้าของ (เช่น บิดา มารดา สำหรับหญิงที่มีสามีแล้ว ต้องได้รับอนุญาตจากสามีก่อน) โดยทุกกรณี ถ้าฝ่ายชายมีภรรยาแล้ว ต้องได้รับอนุญาตจากภรรยาก่อน ซึ่งโดยสรุปก็คือ จะต้องไม่ทำให้ใคร (ผู้ที่มีสิทธิ์โดยชอบธรรมในตัวหญิงและชายนั้น) ไม่พอใจ หรือรู้สึกเจ็บช้ำน้ำใจนั่นเอง
การผิดศีลข้อที่ 4 มุสาวาท (การพูดปด พูดเท็จ โกหก หลอกลวง)
ท่านว่า การกระทำที่ถือว่า ผิดศีลข้อ 4 นี้อย่างสมบูรณ์ จะต้องประกอบด้วยส่วนประกอบดังนี้ เรื่องราวนั้นไม่เป็นความจริง มีจิตคิดจะมุสา คือมีเจตนา ที่จะโกหก หลอกลวง พยายามด้วยกาย หรือด้วยวาจา หรือวิธีการใดๆ เพื่อจะให้ผู้อื่นเชื่อ ตามเรื่องราวนั้น คือดำเนินการโกหก หลอกลวงนั่นเอง ผู้อื่นเชื่อตามเรื่องราวนั้น ท่านว่า ข้อแตกต่าง ระหว่าง มุสาวาท ปิสุณวาจา (พูดส่อเสียด) ผรุสวาจา (พูดคำหยาบ) และสัมผัปปลาปะ (พูดเพ้อเจ้อ) คือ
1. มุสาวาท คือการพูด หรือการกระทำใดๆ โดยมีเจตนาให้ผู้อื่นเชื่อ ในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง โดยหวังจะให้เขาได้รับความเดือดร้อน เสียหาย หรือเสียประโยชน์อันพึงมีพึงได้ จากความเชื่อนั้น
2. ปิสุณวาจา (พูดส่อเสียด) คือการพูด หรือการกระทำใดๆ ในสิ่งที่เป็นความจริง หรือไม่เป็นความจริงก็ตาม โดยมีเจตนาจะยุยงให้เขาแตกแยกกัน ไม่สามัคคีกัน
3. ผรุสวาจา (พูดคำหยาบ) คือการพูด หรือการกระทำใดๆ ในสิ่งที่เป็นความจริง หรือไม่เป็นความจริงก็ตาม ด้วยคำที่สุภาพ หรือไม่สุภาพก็ตาม โดยมีเจตนาจะให้เขาเจ็บใจ ไม่สบายใจ หรือร้อนใจ (ไม่ได้มีเจตนาให้เขาเชื่อตามนั้นเป็นหลักใหญ่) เช่น การด่าว่าเขาเป็นสัตว์บางชนิดเป็นต้น โดยรู้อยู่แล้วว่า เขาจะไม่เชื่อ แต่จะต้องเจ็บใจ หรือการพูดถึงปมด้อยของเขาที่เป็นจริง การประชดประชันด้วยคำที่สุภาพ เป็นต้น
4. สัมผัปปลาปะ (พูดเพ้อเจ้อ) คือการพูด หรือการกระทำใดๆ ในสิ่งที่เป็นความจริง หรือไม่เป็นความจริงก็ตาม โดยเจตนาเพียงเพื่อ ความสนุกสนาน เพลิดเพลิน ไร้สาระ ไม่มีใครได้ประโยชน์จากการพูด หรือการกระทำนั้น ท่านว่า สำหรับมุสาวาท เป็นทั้งการผิดศีล 5 และเป็นอกุศลกรรม คือเป็นวจีทุจริต ในอกุศลกรรมบถ 10 ส่วนปิสุณวาจา ผรุสวาจา และสัมผัปปลาปะนั้น ไม่ถือเป็นการผิดศีล 5 แต่เป็นอกุศลกรรม คือเป็นวจีทุจริต ในอกุศลกรรมบถ 10
การผิดศีลข้อที่ 5 สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐาน (การเสพสุรา เมรัย และของมึนเมาทั้งหลาย อันทำให้ประมาท หรือขาดสติ)
ท่านว่า แยกรายละเอียดได้ดังนี้คือ สุรา คือ น้ำเมาที่กลั่นแล้ว ได้แก่ เหล้าชนิดต่างๆ นั่นเอง เมรัย คือ น้ำเมาที่ไม่ได้กลั่น, น้ำเมาที่เกิดจากการหมักหรือแช่ เช่น ไวน์ชนิดต่างๆ มัชชะ คือ สิ่งที่เสพแล้วทำให้มึนเมา หรือขาดสติทั้งหลาย เช่น บุหรี่ ยาเสพติดทุกชนิด รวมทั้งเหล้า เบียร์ และสุรา เมรัยทุกชนิดด้วย ท่านว่า การผิดศีลข้อที่ 5 นี้ จัดว่าเป็นอันตรายมาก เพราะทำให้ขาดสติ และเมื่อขาดสติแล้ว การทำผิดทุกชนิด ก็จะตามมาได้โดยง่าย นอกจากนี้ยังจะทำให้ ต้องเสียทรัพย์ไปโดยไม่จำเป็น ทั้งยังเสี่ยงต่ออุบัติเหตุเภทภัยทั้งหลาย ความทะเลาะเบาะแว้ง ทำให้ครอบครัวขาดความอบอุ่น หรืออาจถึงขั้นทำให้ครอบครัวแตกแยกก็เป็นได้ และยังเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ทำให้ขาดการพักผ่อน ซึ่งอาจส่งผลไปถึงหน้าที่การงานของเราอีกด้วยครับ
ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิดในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญกับทุกท่าน ที่มีส่วนร่วมในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น