วิธีเอาตัวรอด อย่างผู้มีปัญญา และรู้เท่าทันความจริงของชีวิต
PURIFILM สร้างแรงบันดาลใจ ให้คติธรรม นำพลังสร้างชีวิต
สวัสดีครับคุณผู้ชมคุณผู้ฟังทุกท่าน ที่ติดตามรับชมภูริฟิล์ม คลิบนี้นะครับผมจะมาพูดคุย ในเรื่องวิธีการเอาตัวรอด อย่างผู้มีปัญญา และรู้เท่าทันความจริงของชีวิต ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่า หลายๆ คนในปัจจุบันนี้ ปฏิบัติไม่ถูกต้อง ต่อสิ่งทั้งหลายในโลก จึงทำให้ดำเนินชีวิตผิดพลาด ซึ่งจริงๆ แล้วทุกสิ่งที่เราเกี่ยวข้อง มันก็อยู่ของมันตามปกติ ตามธรรมชาติ แต่เพราะเราปฏิบัติต่อมันไม่ถูก วางใจไม่ถูก มองไม่ถูก จึงทำให้เราเกิดความทุกข์ขึ้น ท่านว่าจริงๆ แล้วสิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ มันก็เป็นไปของมันอยู่แล้ว ซึ่่งถ้าเรารู้เท่าทัน เราก็จะเห็นมัน เพราะมันเป็นไปตามกฎธรรมชาติ แต่ถ้าเรา ไม่รู้เท่าทัน เรามองไม่เห็น เมื่อมันมากระทบตัวเรา เราก็จะเกิดความทุกข์ทันที หรือแม้แต่เหตุการณ์ต่างๆ ที่มันเกิดขึ้นในชีวิตเรา อย่างเช่น ที่เรียกว่า มีโชค หรือมีเคราะห์ ท่านว่า สิ่งเหล่านี้เป็นตัวการสำคัญ ที่ทำให้เราดีใจ เสียใจ หรือมีความสุข มีความทุกข์ ซึ่งหากมันเกิดขึ้น แล้วเราปฏิบัติไม่ถูกต้อง ในขณะที่เรามีความสุข มันก็อาจจะเปลี่ยนไปเป็นความทุกข์ได้ หรือส่วนที่มันเป็นทุกข์อยู่แล้ว มันก็อาจจะเพิ่มความทุกข์ ให้แก่เรามากขึ้นก็เป็นได้ แต่ถ้าเราปฏิบัติถูกต้อง ความทุกข์ที่เรามี มันก็อาจจะเปลี่ยนไปเป็นความสุข หรือที่มันเป็นสุขอยู่แล้ว มันก็อาจจะเพิ่มให้เรา มีความสุขมากขึ้นก็เป็นได้เช่นกัน
ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่า โลกธรรม ก็คือ ธรรมประจำโลก อันได้แก่ สิ่งที่เกิดแก่เราทุกคน ตามคติธรรมดา ของความเป็นอนิจจัง นั่นก็คือ มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ มีสรรเสริญ มีนินทา มีความสุข และมีความทุกข์ ท่านว่าสิ่งเหล่านี้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า มันมีอยู่เป็นธรรมดา เมื่อเรามาอยู่ในโลกใบนี้ เราไม่สามารถจะหนี้พ้นไปได้ ซึ่งเราจะต้องเจอกับมัน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ฉะนั้นถ้าเราเจอมันแล้ว เราวางใจไม่ถูกปฏิบัติไม่ถูก เราก็จะเอาความทุกข์มาใส่ตัว อย่างเช่น พอเรามีลาภเราก็จะดีใจ แต่พอเราเสื่อมลาภ เราก็จะเศร้าโศก ซึ่งถ้าเราวางใจไม่ถูก เราก็จะมีความทุกข์ แล้วก็ไปทำอะไร ประชดประชันตัวเอง หรือประท้วงชีวิต ซ้ำเติมตัวเอง ท่านว่า ทำแบบนี้ มีแต่จะเพิ่มความทุกข์ให้ตัวเองมากขึ้น ส่วนบางคนนั้น เมื่อได้ยินคำสรรเสริญเสริญ ก็จะมีความสุข มีใจเบิกบาน แต่พอเราได้ยินคำนินทา กลับมีความทุกข์ ท่านว่า ความทุกข์ที่มันก็เกิดนี้ ก็เพราะเรารับเข้ามา คือรับกระทบนั่นเอง เราเอาเข้ามาบีบใจของเรา แต่ถ้าเราวางใจถูกต้อง เราก็จะเข้าใจว่า มันคือธรรมดาของโลก อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า เราอยู่ในโลก เราจะต้องเจอโลกธรรม ฉะนั้นถ้าเรามีสติ เราก็จะเข้าใจว่า ความจริงมันเป็นอย่างนี้ เรากำลังเห็น เรากำลังรู้ ซึ่งถ้าเราเรียนรู้มัน ก็จะกลายเป็นประสบการณ์สำหรับศึกษา เราจะเริ่มวางใจ เราจะได้เห็นความจริง เราจะตั้งหลักได้ และเราจะไม่เอาความทุกข์ มาทับถมใจตัวเอง ท่านว่าสิ่งต่างๆ ที่มันเกิดเป็นปัญหา ก็เพราะว่า เราไปรับกระทบ ซึ่งถ้าเราไม่รับกระทบ มันก็เป็นเพียงการเรียนรู้เท่านั้นเอง
ฉะนั้นท่านว่า ถ้าเราอยากทำใจให้ถูกต้อง เราก็ต้องหมั่นฝึกตนเอง เพื่อจะได้มองทุกอย่างในแง่มุมใหม่ แม้แต่สิ่งที่ไม่ดีไม่น่าชอบใจ ก็จะได้มองเป็นบททดสอบ เราจะได้ทดสอบสติปัญญา ทดสอบความสามารถของเรา ซึ่งมันจะทำให้เราเข้มแข็งขึ้น เพราะเราได้ฝึกฝนได้พัฒนา และเมื่อมีโชค หรือโลกธรรมที่ดีเข้ามา เราก็จะได้สบาย มีความสุข และหากเราใช้โชคเหล่านั้น อย่างเช่น ลาภ ยศ เป็นเครื่องมือ เพื่อเพิ่มความสุขให้แผ่ขยายออกไป คือ ใช้มันทำความดี ใช้ช่วยเหลือเกื้อกูลเพื่อนมนุษย์ มันก็จะทำให้ความสุข ขยายออกจากตัวเรา แผ่กว้างออกไปอีก แต่ถ้ามีเคราะห์ หรือโลกธรรมที่ร้าย ผ่านเข้ามาในชีวิตเรา ก็ถือได้เป็นโอกาสดี ที่เราจะได้ฝึกฝนพัฒนา คิดว่ามันเป็นบททดสอบ เป็นบทเรียน เป็นเครื่องมือฝึกสติ ฝึกปัญญา และฝึกการแก้ปัญหาต่างๆ ซึ่งถ้าเราคิดได้อย่างนี้ มันก็จะทำให้เราพัฒนายิ่งขึ้นไปอีก ฉะนั้นถ้าเรามองสิ่งทั้งหลายเป็นแล้ว มันก็จะเกิดประโยชน์แก่เราทั้งสิ้น ไม่ว่าสิ่งนั้นจะดีหรือร้าย
ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่า เวลาที่เราประสบกับโลกธรรม ที่เป็นสิ่งที่น่าชอบใจ อย่างเช่น ได้ลาภ ได้ยศ เราก็จะเกิดความชอบใจ หรือดีใจเป็นธรรมดา แต่ถ้าเราปฏิบัติไม่ถูกต้อง ลาภยศที่น่าปรารถนาเหล่านี้ มันก็จะนำความเสื่อมมาให้เรา หรือทำลายคุณค่าแห่งชีวิตลงไป ซึ่งจะกลายเป็นโทษแก่ชีวิตของเรา อย่างเช่น เราหลงระเริงมัวเมา แล้วไปดูถูกดูหมิ่นผู้อื่น หรือใช้ลาภยศ ในทางที่เสียหาย หรือใช้ทรัพย์ และอำนาจ ไปในทางคุกคาม ข่มเหงรังแกผู้อื่น แล้วสร้างความเดือดร้อนเบียดเบียน ทำความเสียหาย ให้แก่โลกและชีวิต แต่ถ้าเราปฏิบัติถูกต้อง ลาภยศที่เกิดขึ้น ก็จะกลายเป็นโอกาส อย่างเช่น เรามีความคิดดีๆ อยากจะสร้างสรรค์ในที่ดีงาม แต่ไม่มีเงินทอง ไม่มียศ ไม่มีบริวาร ไม่มีใครเชื่อฟัง หรือไม่มีทุน ก็อาจจะทำประโยชน์ได้น้อย แต่หากเรามีลาภ มีเงินทอง มียศ มีตำแหน่ง มีฐานะบริวาร เมื่อเรามีความคิดสร้างสรรค์ที่ดี มันก็จะทำประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ เพราะฉะนั้น ลาภยศ เมื่อเกิดขึ้นแก่คนที่มีปัญญา รู้จักคิด รู้จักพิจารณา ก็กลายเป็นสิ่งที่ดีมีประโยชน์ เป็นโอกาสที่จะสร้างสรรค์ได้มากขึ้น หรือแม้แต่ว่าลาภยศเหล่านั้น จะผ่านพ้นไปแล้ว แต่เราก็ได้ทำความดีฝากไว้ ซึ่งเป็นคุณค่าแห่งชีวิตของเรา และยังมีคนที่นับถือ เคารพระลึกถึงเราด้วยความใจจริง แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าเราประสบโลกธรรม ที่ไม่พึงปรารถนา ไม่ว่าจะเป็นความเสื่อมลาภ เสื่อมยศ การนินทา หรือความทุกข์ก็ตาม ถ้าเราวางใจไม่เป็น อย่างเช่น เราไม่รู้เท่าทันความจริง ใจเราก็จะเป็นทุกข์ ยิ่งถ้าเรามองหาประโยชน์จากมันไม่ได้เลย ก็ยิ่งจะเกิดความเศร้าโศกเสียใจ มีแต่ความระทมทุกข์ ความคับแค้นใจ แต่ถ้าเรารู้จักใช้ประโยชน์จากมัน และวางใจเป็น สิ่งเหล่านั้น ก็จะกลับกลายเป็นดีไปได้
ชีวิตของเรานั้น จะต้องพัฒนา และต้องฝึกฝนตนเองอยู่เสมอ แต่การที่เราจะฝึกฝนตนเองได้นั้น เราจะต้องมีบททดสอบ และแบบฝึกหัด เพราะบางคนก็อยู่แต่ กับความสุขสบาย จึงไม่มีบททดสอบ เลยไม่รู้ว่าตัวเองนั้น เข้มแข็งจริงหรือไม่ ฉะนั้นลองสำรวจดูตัวเองว่า ชีวิตของเรานั้นมีความมั่นคงในใจแค่ไหน เพราะถ้าเรายังไม่เจอบททดสอบ เราเองก็จะไม่รู้ แต่ถ้าเราเจอบททดสอบ เจอความทุกข์ เจอความเสื่อม เจอการสิ้นลาภ สิ้นยศ เราก็จะรู้ว่าตัวเองนั้นเข้มแข็งมากแค่ไหน ท่านว่า คนที่มีสติ เมื่อเจอบททดสอบ ก็จะยินดีเผชิญ และสำรวจดูตัวเอง เขาจะไม่โศกเศร้าเสียใจ และยิ่งถ้าตัวเองยังไม่เข้มแข็งพอ ก็จะถือเป็นโอกาสดี ที่จะได้พัฒนาตัวเอง เป็นเครื่องฝึกฝนพัฒนาต่อไป ท่านว่า คนที่พัฒนาความสามารถ พัฒนาสติปัญญาขึ้นมาได้ ก็เพราะเขาพัฒนา จากการที่ได้เผชิญปัญหา เผชิญอุปสรรค เผชิญสิ่งที่ยาก แล้วพยายามคิดแก้ไข และไม่ย่อท้อ ส่วนคนที่ไม่เคยเจอสิ่งที่ยาก ไม่เคยเจอปัญหา การจะพัฒนาตัวเองนั้นยากยิ่ง และก็จะประสบความสำเร็จ ได้ยากเช่นกัน
ครูบาอาจารย์ท่านให้ข้อคิดเตือนสติว่า เราจะต้องรู้เท่าทัน ความจริงของโลก และชีวิต เราจะต้องเห็นแจ้ง ในกระแสของกฎธรรมชาติ ว่าสิ่งทั้งหลายเป็นอนิจจัง มันไม่เที่ยง มันมีการเปลี่ยนแปลง ไปตามเหตุปัจจัยของมัน ซึ่งจะให้มันเป็นไป ตามใจของเราทุกอย่างย่อมไม่ได้ และเราจะไปปรารถนา ให้มันเป็นไปตามใจหวัง ก็ไม่ได้เช่นกัน ดังนั้น จะให้มันเป็นไปอย่างไร เราก็ต้องทำให้ตรง ตามเหตุปัจจัย ส่วนจะได้แค่ไหน ก็เท่ากับเหตุปัจจัยที่เราทำได้ จะไปยึดติดถือมั่น เอาตามที่ใจเรา อยากให้เป็นนั้น ย่อมไม่ได้ เราจะต้องอยู่กับความเป็นจริง และก็ทำจิตให้เป็นอิสระ ไม่ตกอยู่ใต้อำนาจของกฎธรรมชาติ ที่มันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้น โลกธรรมที่เรียกว่า สิ่งที่น่าปรารถนา น่าชอบใจ หรือไม่น่าปรารถนา ไม่น่าชอบใจ มันก็เป็นไปตามปกติของมันอยู่แล้ว ตามเหตุปัจจัยของมัน เราจะต้องเรียนรู้ และวางใจให้ได้ เราจะได้โล่ง โปร่งสบาย ท่านว่า นี่คือการทำจิตใจ ให้เป็นอิสระ ด้วยปัญญารู้เท่าทัน หรือที่เรียกว่า อยู่อย่างผู้มีปัญญา และเห็นแจ้งในความจริง ครับ
ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิดในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญกับทุกท่าน ที่มีส่วนร่วมในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ
สวัสดีครับคุณผู้ชมคุณผู้ฟังทุกท่าน ที่ติดตามรับชมภูริฟิล์ม คลิบนี้นะครับผมจะมาพูดคุย ในเรื่องวิธีการเอาตัวรอด อย่างผู้มีปัญญา และรู้เท่าทันความจริงของชีวิต ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่า หลายๆ คนในปัจจุบันนี้ ปฏิบัติไม่ถูกต้อง ต่อสิ่งทั้งหลายในโลก จึงทำให้ดำเนินชีวิตผิดพลาด ซึ่งจริงๆ แล้วทุกสิ่งที่เราเกี่ยวข้อง มันก็อยู่ของมันตามปกติ ตามธรรมชาติ แต่เพราะเราปฏิบัติต่อมันไม่ถูก วางใจไม่ถูก มองไม่ถูก จึงทำให้เราเกิดความทุกข์ขึ้น ท่านว่าจริงๆ แล้วสิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ มันก็เป็นไปของมันอยู่แล้ว ซึ่่งถ้าเรารู้เท่าทัน เราก็จะเห็นมัน เพราะมันเป็นไปตามกฎธรรมชาติ แต่ถ้าเรา ไม่รู้เท่าทัน เรามองไม่เห็น เมื่อมันมากระทบตัวเรา เราก็จะเกิดความทุกข์ทันที หรือแม้แต่เหตุการณ์ต่างๆ ที่มันเกิดขึ้นในชีวิตเรา อย่างเช่น ที่เรียกว่า มีโชค หรือมีเคราะห์ ท่านว่า สิ่งเหล่านี้เป็นตัวการสำคัญ ที่ทำให้เราดีใจ เสียใจ หรือมีความสุข มีความทุกข์ ซึ่งหากมันเกิดขึ้น แล้วเราปฏิบัติไม่ถูกต้อง ในขณะที่เรามีความสุข มันก็อาจจะเปลี่ยนไปเป็นความทุกข์ได้ หรือส่วนที่มันเป็นทุกข์อยู่แล้ว มันก็อาจจะเพิ่มความทุกข์ ให้แก่เรามากขึ้นก็เป็นได้ แต่ถ้าเราปฏิบัติถูกต้อง ความทุกข์ที่เรามี มันก็อาจจะเปลี่ยนไปเป็นความสุข หรือที่มันเป็นสุขอยู่แล้ว มันก็อาจจะเพิ่มให้เรา มีความสุขมากขึ้นก็เป็นได้เช่นกัน
ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่า โลกธรรม ก็คือ ธรรมประจำโลก อันได้แก่ สิ่งที่เกิดแก่เราทุกคน ตามคติธรรมดา ของความเป็นอนิจจัง นั่นก็คือ มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ มีสรรเสริญ มีนินทา มีความสุข และมีความทุกข์ ท่านว่าสิ่งเหล่านี้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า มันมีอยู่เป็นธรรมดา เมื่อเรามาอยู่ในโลกใบนี้ เราไม่สามารถจะหนี้พ้นไปได้ ซึ่งเราจะต้องเจอกับมัน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ฉะนั้นถ้าเราเจอมันแล้ว เราวางใจไม่ถูกปฏิบัติไม่ถูก เราก็จะเอาความทุกข์มาใส่ตัว อย่างเช่น พอเรามีลาภเราก็จะดีใจ แต่พอเราเสื่อมลาภ เราก็จะเศร้าโศก ซึ่งถ้าเราวางใจไม่ถูก เราก็จะมีความทุกข์ แล้วก็ไปทำอะไร ประชดประชันตัวเอง หรือประท้วงชีวิต ซ้ำเติมตัวเอง ท่านว่า ทำแบบนี้ มีแต่จะเพิ่มความทุกข์ให้ตัวเองมากขึ้น ส่วนบางคนนั้น เมื่อได้ยินคำสรรเสริญเสริญ ก็จะมีความสุข มีใจเบิกบาน แต่พอเราได้ยินคำนินทา กลับมีความทุกข์ ท่านว่า ความทุกข์ที่มันก็เกิดนี้ ก็เพราะเรารับเข้ามา คือรับกระทบนั่นเอง เราเอาเข้ามาบีบใจของเรา แต่ถ้าเราวางใจถูกต้อง เราก็จะเข้าใจว่า มันคือธรรมดาของโลก อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า เราอยู่ในโลก เราจะต้องเจอโลกธรรม ฉะนั้นถ้าเรามีสติ เราก็จะเข้าใจว่า ความจริงมันเป็นอย่างนี้ เรากำลังเห็น เรากำลังรู้ ซึ่งถ้าเราเรียนรู้มัน ก็จะกลายเป็นประสบการณ์สำหรับศึกษา เราจะเริ่มวางใจ เราจะได้เห็นความจริง เราจะตั้งหลักได้ และเราจะไม่เอาความทุกข์ มาทับถมใจตัวเอง ท่านว่าสิ่งต่างๆ ที่มันเกิดเป็นปัญหา ก็เพราะว่า เราไปรับกระทบ ซึ่งถ้าเราไม่รับกระทบ มันก็เป็นเพียงการเรียนรู้เท่านั้นเอง
ฉะนั้นท่านว่า ถ้าเราอยากทำใจให้ถูกต้อง เราก็ต้องหมั่นฝึกตนเอง เพื่อจะได้มองทุกอย่างในแง่มุมใหม่ แม้แต่สิ่งที่ไม่ดีไม่น่าชอบใจ ก็จะได้มองเป็นบททดสอบ เราจะได้ทดสอบสติปัญญา ทดสอบความสามารถของเรา ซึ่งมันจะทำให้เราเข้มแข็งขึ้น เพราะเราได้ฝึกฝนได้พัฒนา และเมื่อมีโชค หรือโลกธรรมที่ดีเข้ามา เราก็จะได้สบาย มีความสุข และหากเราใช้โชคเหล่านั้น อย่างเช่น ลาภ ยศ เป็นเครื่องมือ เพื่อเพิ่มความสุขให้แผ่ขยายออกไป คือ ใช้มันทำความดี ใช้ช่วยเหลือเกื้อกูลเพื่อนมนุษย์ มันก็จะทำให้ความสุข ขยายออกจากตัวเรา แผ่กว้างออกไปอีก แต่ถ้ามีเคราะห์ หรือโลกธรรมที่ร้าย ผ่านเข้ามาในชีวิตเรา ก็ถือได้เป็นโอกาสดี ที่เราจะได้ฝึกฝนพัฒนา คิดว่ามันเป็นบททดสอบ เป็นบทเรียน เป็นเครื่องมือฝึกสติ ฝึกปัญญา และฝึกการแก้ปัญหาต่างๆ ซึ่งถ้าเราคิดได้อย่างนี้ มันก็จะทำให้เราพัฒนายิ่งขึ้นไปอีก ฉะนั้นถ้าเรามองสิ่งทั้งหลายเป็นแล้ว มันก็จะเกิดประโยชน์แก่เราทั้งสิ้น ไม่ว่าสิ่งนั้นจะดีหรือร้าย
ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่า เวลาที่เราประสบกับโลกธรรม ที่เป็นสิ่งที่น่าชอบใจ อย่างเช่น ได้ลาภ ได้ยศ เราก็จะเกิดความชอบใจ หรือดีใจเป็นธรรมดา แต่ถ้าเราปฏิบัติไม่ถูกต้อง ลาภยศที่น่าปรารถนาเหล่านี้ มันก็จะนำความเสื่อมมาให้เรา หรือทำลายคุณค่าแห่งชีวิตลงไป ซึ่งจะกลายเป็นโทษแก่ชีวิตของเรา อย่างเช่น เราหลงระเริงมัวเมา แล้วไปดูถูกดูหมิ่นผู้อื่น หรือใช้ลาภยศ ในทางที่เสียหาย หรือใช้ทรัพย์ และอำนาจ ไปในทางคุกคาม ข่มเหงรังแกผู้อื่น แล้วสร้างความเดือดร้อนเบียดเบียน ทำความเสียหาย ให้แก่โลกและชีวิต แต่ถ้าเราปฏิบัติถูกต้อง ลาภยศที่เกิดขึ้น ก็จะกลายเป็นโอกาส อย่างเช่น เรามีความคิดดีๆ อยากจะสร้างสรรค์ในที่ดีงาม แต่ไม่มีเงินทอง ไม่มียศ ไม่มีบริวาร ไม่มีใครเชื่อฟัง หรือไม่มีทุน ก็อาจจะทำประโยชน์ได้น้อย แต่หากเรามีลาภ มีเงินทอง มียศ มีตำแหน่ง มีฐานะบริวาร เมื่อเรามีความคิดสร้างสรรค์ที่ดี มันก็จะทำประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ เพราะฉะนั้น ลาภยศ เมื่อเกิดขึ้นแก่คนที่มีปัญญา รู้จักคิด รู้จักพิจารณา ก็กลายเป็นสิ่งที่ดีมีประโยชน์ เป็นโอกาสที่จะสร้างสรรค์ได้มากขึ้น หรือแม้แต่ว่าลาภยศเหล่านั้น จะผ่านพ้นไปแล้ว แต่เราก็ได้ทำความดีฝากไว้ ซึ่งเป็นคุณค่าแห่งชีวิตของเรา และยังมีคนที่นับถือ เคารพระลึกถึงเราด้วยความใจจริง แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าเราประสบโลกธรรม ที่ไม่พึงปรารถนา ไม่ว่าจะเป็นความเสื่อมลาภ เสื่อมยศ การนินทา หรือความทุกข์ก็ตาม ถ้าเราวางใจไม่เป็น อย่างเช่น เราไม่รู้เท่าทันความจริง ใจเราก็จะเป็นทุกข์ ยิ่งถ้าเรามองหาประโยชน์จากมันไม่ได้เลย ก็ยิ่งจะเกิดความเศร้าโศกเสียใจ มีแต่ความระทมทุกข์ ความคับแค้นใจ แต่ถ้าเรารู้จักใช้ประโยชน์จากมัน และวางใจเป็น สิ่งเหล่านั้น ก็จะกลับกลายเป็นดีไปได้
ชีวิตของเรานั้น จะต้องพัฒนา และต้องฝึกฝนตนเองอยู่เสมอ แต่การที่เราจะฝึกฝนตนเองได้นั้น เราจะต้องมีบททดสอบ และแบบฝึกหัด เพราะบางคนก็อยู่แต่ กับความสุขสบาย จึงไม่มีบททดสอบ เลยไม่รู้ว่าตัวเองนั้น เข้มแข็งจริงหรือไม่ ฉะนั้นลองสำรวจดูตัวเองว่า ชีวิตของเรานั้นมีความมั่นคงในใจแค่ไหน เพราะถ้าเรายังไม่เจอบททดสอบ เราเองก็จะไม่รู้ แต่ถ้าเราเจอบททดสอบ เจอความทุกข์ เจอความเสื่อม เจอการสิ้นลาภ สิ้นยศ เราก็จะรู้ว่าตัวเองนั้นเข้มแข็งมากแค่ไหน ท่านว่า คนที่มีสติ เมื่อเจอบททดสอบ ก็จะยินดีเผชิญ และสำรวจดูตัวเอง เขาจะไม่โศกเศร้าเสียใจ และยิ่งถ้าตัวเองยังไม่เข้มแข็งพอ ก็จะถือเป็นโอกาสดี ที่จะได้พัฒนาตัวเอง เป็นเครื่องฝึกฝนพัฒนาต่อไป ท่านว่า คนที่พัฒนาความสามารถ พัฒนาสติปัญญาขึ้นมาได้ ก็เพราะเขาพัฒนา จากการที่ได้เผชิญปัญหา เผชิญอุปสรรค เผชิญสิ่งที่ยาก แล้วพยายามคิดแก้ไข และไม่ย่อท้อ ส่วนคนที่ไม่เคยเจอสิ่งที่ยาก ไม่เคยเจอปัญหา การจะพัฒนาตัวเองนั้นยากยิ่ง และก็จะประสบความสำเร็จ ได้ยากเช่นกัน
ครูบาอาจารย์ท่านให้ข้อคิดเตือนสติว่า เราจะต้องรู้เท่าทัน ความจริงของโลก และชีวิต เราจะต้องเห็นแจ้ง ในกระแสของกฎธรรมชาติ ว่าสิ่งทั้งหลายเป็นอนิจจัง มันไม่เที่ยง มันมีการเปลี่ยนแปลง ไปตามเหตุปัจจัยของมัน ซึ่งจะให้มันเป็นไป ตามใจของเราทุกอย่างย่อมไม่ได้ และเราจะไปปรารถนา ให้มันเป็นไปตามใจหวัง ก็ไม่ได้เช่นกัน ดังนั้น จะให้มันเป็นไปอย่างไร เราก็ต้องทำให้ตรง ตามเหตุปัจจัย ส่วนจะได้แค่ไหน ก็เท่ากับเหตุปัจจัยที่เราทำได้ จะไปยึดติดถือมั่น เอาตามที่ใจเรา อยากให้เป็นนั้น ย่อมไม่ได้ เราจะต้องอยู่กับความเป็นจริง และก็ทำจิตให้เป็นอิสระ ไม่ตกอยู่ใต้อำนาจของกฎธรรมชาติ ที่มันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้น โลกธรรมที่เรียกว่า สิ่งที่น่าปรารถนา น่าชอบใจ หรือไม่น่าปรารถนา ไม่น่าชอบใจ มันก็เป็นไปตามปกติของมันอยู่แล้ว ตามเหตุปัจจัยของมัน เราจะต้องเรียนรู้ และวางใจให้ได้ เราจะได้โล่ง โปร่งสบาย ท่านว่า นี่คือการทำจิตใจ ให้เป็นอิสระ ด้วยปัญญารู้เท่าทัน หรือที่เรียกว่า อยู่อย่างผู้มีปัญญา และเห็นแจ้งในความจริง ครับ
ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิดในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญกับทุกท่าน ที่มีส่วนร่วมในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ

ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น