อยากร่ำรวยทันตาเห็น จงทำบุญด้วยวิธีนี้ รับรองเห็นผลอย่างแน่นอน
PURIFILM สร้างแรงบันดาลใจ ให้คติธรรม นำพลังสร้างชีวิต
สวัสดีครับคุณผู้ชมคุณผู้ฟังทุกท่าน ที่ติดตามรับชมภูริฟิล์ม คลิบนี้นะครับผมจะมาพูดคุย ในเรื่องของ คนที่อยากจะร่ำรวยทันตาเห็น ว่าจะต้องทำบุญอย่างไรบ้าง ซึ่งในเรื่องนี้ครูบาอาจารย์ ท่านให้ข้อคิดเตือนสติว่า ใครก็ตามที่อยากจะร่ำรวยมีความสุข อยากเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน อันดับแรกจะต้องรู้จักขจัดอุปสรรค และวิบากกรรมไม่ดีต่างๆ ออกไปก่อน ด้วยการหมั่นทำทาน 3 ประการ นั่นก็คือ วัตถุทาน ธรรมทาน และอภัยทาน
ซึ่งวัตถุทาน ก็คือ การให้วัตถุ หรือสิ่งของ เงินทอง ให้เป็นทานที่เกิดผลดีต่อผู้รับ
ส่วนธรรมทาน ก็คือ การสอน การให้ธรรมะ เป็นความรู้เป็นทานแก่ผู้อื่น ซึ่งคำว่าธรรมนี้เป็นความรู้ ที่เขารู้แล้วสามารถจะช่วยทำให้ชีวิตของเขา พ้นจากความทุกข์ไปได้ ไม่ว่าจะเป็นทั้งทางตรง และทางอ้อม ซึ่งทางตรง ก็คือ การให้ความรู้โดยตรงกับผู้รับ ส่วนทางอ้อม ก็คือ การมีส่วนร่วม ในการให้ธรรมทานเหล่านั้น อย่างเช่น การช่วยพิมพ์หนังสือธรรมะ เพื่อแจกจ่ายให้แก่ผู้อื่น หรือช่วยเป็นธุระจัดการให้ ท่านว่าการกระทำแบบนี้ ล้วนเป็นการให้ธรรมทานทั้งสิ้น
ส่วนการให้อภัยทานนั้น ก็คือ การให้อภัย ในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ดีกับเรา โดยที่เราไม่คิด ไม่จองเวร หรือไปอาฆาตพยาบาทต่อเขาอีก ซึ่งการให้อภัยทานนี้ เป็นการให้ที่ยากที่สุด ในบรรดาทานทั้งหมด แต่การให้อภัยทานนั้นท่านว่า เป็นการให้ทาน ที่ได้ผลบุญมากที่สุดเช่นเดียวกัน ซึ่งในตอนแรกเราอาจจะทำยาก เพราะการให้อภัยทานนั้น เราจะต้องให้อภัยโทษ ยอมรับขมาอย่างจริงใจ และให้อโหสิกรรมอย่างไม่ติดค้าง ไม่มีการซ่อนความโกรธ หรือความอาฆาตแค้นไว้ในใจ และการใช้ชีวิตของเรา ก็จะต้องไม่เบียดเบียน ไม่กระทบกระทั่ง ไม่ประทุษร้ายต่อเขาเหล่านั้นอีก เราจะต้องมีชีวิตที่สว่าง อยู่ด้วยจิตที่แผ่เมตตา ให้คนอื่นได้ตลอดเวลา
ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่า ถ้าเราทำบุญด้วย 3 ทานนี้ ครบถ้วนสมบูรณ์ทุกวัน ก็จะทำให้ชีวิตของเรานั้น เจริญรุ่งเรืองร่ำรวยได้ และจะเปลี่ยนไปในทางที่ดี ยิ่งถ้าเราทำอย่างต่อเนื่องไม่มีหยุด ในชาตินี้ท่านว่า เราจะร่ำรวย และมีความสุขอย่างมาก ชีวิตจะพบเจอแต่เรื่องดีๆ ซึ่งเคล็ดลับในการให้ทานที่ถูกต้องนั้น เพื่อให้เราได้บุญมาก และมีความสุขความเจริญ ท่านว่ามีองค์ประกอบ อยู่ด้วยกัน 3 ประการ นั่นก็คือ
1. วัตถุทานที่เราให้จะต้องบริสุทธิ์ ซึ่งหมายความว่า วัตถุหรือเงินทอง ที่ซื้อวัตถุทานเหล่านั้น จะต้องเป็นเงิน ที่มาจากการทำงานที่สุจริต และไม่เบียดเบียน หรือกรรโชก คดโกงใครมา และยิ่งถ้าเงิน หรือวัตถุเหล่านั้น มาจากน้ำพักน้ำแรง มาจากความยากลำบากของเราเอง ก็จะยิ่งมีอานิสงส์มาก เพราะเรามีเจตนาสูง และวัตถุทานเหล่านั้นท่านว่า ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้เงินมาก ขอเพียงเงิน และที่มา ของวัตถุเหล่านั้นบริสุทธิ์ แม้จะเพียงสลึงเดียว เราก็สามารถจะทำบุญได้ ส่วนเคล็ดลับสำคัญ ในการให้วัตถุทาน ที่จะทำให้ทานนั้น มีอานิสงส์แตกต่างกัน ท่านว่ามีอยู่ 3 ประการด้วยกัน นั่นก็คือ
1. ทาสทาน คือ การให้ของ ที่เลวกว่าที่เรากิน หรือของที่เลวกว่าที่เราใช้
2. สหายทาน คือ การให้ของ ที่เสมอกับที่เรากิน หรือที่เราใช้อยู่
3. สามีทาน คือ การให้ของ ที่ดีกว่าที่เรากิน ที่เราใช้อยู่
ท่านว่า นี้คือเคล็ดลับสำคัญ ที่จะทำให้ทาน มีอานิสงส์แตกต่างกันไป ดังนั้น เวลาที่เราจะให้ทานแก่ใคร เราก็ควรพิจารณาทานเหล่านี้ด้วย ว่าได้ให้ของที่ดีที่สุด หรือประณีตที่สุด เท่าที่เราจะทำได้หาได้ ในเวลานั้นหรือไม่
ส่วนเจตตาในการให้ทานนั้น ท่านว่าก็เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง ไม่ว่า ทั้งก่อนให้ ขณะให้ และหลังการให้ เราจะต้องมีเจตนาที่บริสุทธิ์ ไม่คิดหวังผล ตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น เพราะถ้าเราหวังผลตอบแทน กิเลสที่เกิดขึ้นนั้น ก็จะมาลดทอนบุญ ที่เราควรจะได้รับลงไปด้วย ซึ่งเป็นอุปสรรคมาขวางทางบุญไว้ ฉะนั้น เวลาที่เราทำบุญ ก่อนให้ เราก็ควรทำใจให้สบาย มีความตั้งใจที่จะทำบุญ เพื่อให้คนอื่นได้มีความสุข และก็ยังเป็นการสืบทอดพระพุทธศาสนา ให้เจริญรุ่งเรืองอีกด้วย ส่วนขณะให้ทาน ใจของเราก็จะต้อง ไม่คิดอะไรวุ่นวาย ไม่คิดมาก เพราะบางครั้งในขณะให้ทาน จะชอบคิดสงสัย หรือวิตกกังวลไปว่า ของที่เรากำลังให้นั้น สมควรที่คนอื่นจะรับหรือไม่ หรือของเหล่านี้ เขาจะเอาไปทำอะไร ซึ่งถ้าเราคิดมากท่านว่าจิตส่าย ท่านว่าขณะให้ จิตเราจะต้องนิ่ง เพื่อให้ทานนั้นสำเร็จ และเกิดบุญ เพราะถ้าจิตเราไม่นิ่ง ส่ายไปส่ายมา ก็กลายเป็นว่า การกระทำของเรานั้น ไปลดทอนกำลังบุญลง ส่วนหลังจากการให้ทานไปแล้ว ท่านว่าเราก็ไม่ควรรู้สึกเสียดาย หรือมีจิตใจคิดฟุ้งซ่าน เมื่อเราให้ไปแล้ว ก็ให้จบกันไป ถือว่าให้ขาดไปเลย แล้วการอธิษฐานหลังจากทำบุญ เราก็ควรอธิษฐานไปในทางที่ดี เพื่อให้ชีวิตมีความสุข อย่าไปอธิษฐานแบบมีข้อแม้ หรือแบบขอไปในตัวด้วย
ส่วนเคล็ดลับสำคัญอีกประการหนึ่ง นั่นก็คือ ผู้รับจะต้องบริสุทธิ์ ท่านว่า ถ้าผู้รับบริสุทธิ์ เราก็จะได้บุญมาก ซึ่งคำว่าผู้รับบริสุทธิ์นั้น ก็หมายความว่า หากผู้รับมีศีล เป็นคนดี บริสุทธิ์ มีความชอบธรรมมากเท่าใด ทานหรือบุญที่เราทำไปนั้น ก็จะเกิดผลมากขึ้นตามไปด้วย ส่วนการดูว่าผู้รับนั้น จะมีความบริสุทธิ์มากน้อยแค่ไหน ครูบาอาจารย์ท่านให้สังเกตุ ที่วัตรปฏิบัติของท่านเป็นสำคัญ และถ้าเรารู้แล้ว แต่ไม่มีโอกาส ได้ไปทำบุญกับท่านเหล่านั้น ก็ให้เราทำบุญด้วยวิธีง่ายๆ แต่ได้ผลมากเช่นเดียวกัน นั่นก็คือ เวลาที่เราใส่บาตร ทำสังฆทาน หรือจะทำบุญด้วยวิธีใด ที่ไหนก็ตาม ก็ขอให้เราอธิษฐาน ถวายแด่พระพุทธเจ้า เพราะพระสงฆ์ ที่ท่านกำลังรับนั้น ท่านก็ล้วนเป็นตัวแทนของพระพุทธองค์ อานิสงส์ของบุญที่เราจะได้รับ ก็ย่อมจะมากตามไปด้วย หากว่าเรานั้นเจตนาบริสุทธิ์ ตั้งใจทำบุญให้ทานอย่างแท้จริง
ครูบาอาจารย์ ท่านให้ข้อคิดเตือนสติว่า หากเราเพียรทำความดี หมั่นทำบุญให้ทานอย่างไม่หยุดยั้ง ทำทุกวันไม่ขาด และทำเท่าที่เราจะทำได้ เมื่อถึงเวลาที่บุญจะส่งผล มันก็จะทำหน้าที่ตามเหตุและปัจจัย บุญเหล่านั้นก็จะส่งผล ทำให้ชีวิตของเรา เจริญรุงเรืองร่ำรวยอย่างแน่นอน ครับ
ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิดในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญกับทุกท่าน ที่มีส่วนร่วมในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ
สวัสดีครับคุณผู้ชมคุณผู้ฟังทุกท่าน ที่ติดตามรับชมภูริฟิล์ม คลิบนี้นะครับผมจะมาพูดคุย ในเรื่องของ คนที่อยากจะร่ำรวยทันตาเห็น ว่าจะต้องทำบุญอย่างไรบ้าง ซึ่งในเรื่องนี้ครูบาอาจารย์ ท่านให้ข้อคิดเตือนสติว่า ใครก็ตามที่อยากจะร่ำรวยมีความสุข อยากเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน อันดับแรกจะต้องรู้จักขจัดอุปสรรค และวิบากกรรมไม่ดีต่างๆ ออกไปก่อน ด้วยการหมั่นทำทาน 3 ประการ นั่นก็คือ วัตถุทาน ธรรมทาน และอภัยทาน
ซึ่งวัตถุทาน ก็คือ การให้วัตถุ หรือสิ่งของ เงินทอง ให้เป็นทานที่เกิดผลดีต่อผู้รับ
ส่วนธรรมทาน ก็คือ การสอน การให้ธรรมะ เป็นความรู้เป็นทานแก่ผู้อื่น ซึ่งคำว่าธรรมนี้เป็นความรู้ ที่เขารู้แล้วสามารถจะช่วยทำให้ชีวิตของเขา พ้นจากความทุกข์ไปได้ ไม่ว่าจะเป็นทั้งทางตรง และทางอ้อม ซึ่งทางตรง ก็คือ การให้ความรู้โดยตรงกับผู้รับ ส่วนทางอ้อม ก็คือ การมีส่วนร่วม ในการให้ธรรมทานเหล่านั้น อย่างเช่น การช่วยพิมพ์หนังสือธรรมะ เพื่อแจกจ่ายให้แก่ผู้อื่น หรือช่วยเป็นธุระจัดการให้ ท่านว่าการกระทำแบบนี้ ล้วนเป็นการให้ธรรมทานทั้งสิ้น
ส่วนการให้อภัยทานนั้น ก็คือ การให้อภัย ในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ดีกับเรา โดยที่เราไม่คิด ไม่จองเวร หรือไปอาฆาตพยาบาทต่อเขาอีก ซึ่งการให้อภัยทานนี้ เป็นการให้ที่ยากที่สุด ในบรรดาทานทั้งหมด แต่การให้อภัยทานนั้นท่านว่า เป็นการให้ทาน ที่ได้ผลบุญมากที่สุดเช่นเดียวกัน ซึ่งในตอนแรกเราอาจจะทำยาก เพราะการให้อภัยทานนั้น เราจะต้องให้อภัยโทษ ยอมรับขมาอย่างจริงใจ และให้อโหสิกรรมอย่างไม่ติดค้าง ไม่มีการซ่อนความโกรธ หรือความอาฆาตแค้นไว้ในใจ และการใช้ชีวิตของเรา ก็จะต้องไม่เบียดเบียน ไม่กระทบกระทั่ง ไม่ประทุษร้ายต่อเขาเหล่านั้นอีก เราจะต้องมีชีวิตที่สว่าง อยู่ด้วยจิตที่แผ่เมตตา ให้คนอื่นได้ตลอดเวลา
ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่า ถ้าเราทำบุญด้วย 3 ทานนี้ ครบถ้วนสมบูรณ์ทุกวัน ก็จะทำให้ชีวิตของเรานั้น เจริญรุ่งเรืองร่ำรวยได้ และจะเปลี่ยนไปในทางที่ดี ยิ่งถ้าเราทำอย่างต่อเนื่องไม่มีหยุด ในชาตินี้ท่านว่า เราจะร่ำรวย และมีความสุขอย่างมาก ชีวิตจะพบเจอแต่เรื่องดีๆ ซึ่งเคล็ดลับในการให้ทานที่ถูกต้องนั้น เพื่อให้เราได้บุญมาก และมีความสุขความเจริญ ท่านว่ามีองค์ประกอบ อยู่ด้วยกัน 3 ประการ นั่นก็คือ
1. วัตถุทานที่เราให้จะต้องบริสุทธิ์ ซึ่งหมายความว่า วัตถุหรือเงินทอง ที่ซื้อวัตถุทานเหล่านั้น จะต้องเป็นเงิน ที่มาจากการทำงานที่สุจริต และไม่เบียดเบียน หรือกรรโชก คดโกงใครมา และยิ่งถ้าเงิน หรือวัตถุเหล่านั้น มาจากน้ำพักน้ำแรง มาจากความยากลำบากของเราเอง ก็จะยิ่งมีอานิสงส์มาก เพราะเรามีเจตนาสูง และวัตถุทานเหล่านั้นท่านว่า ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้เงินมาก ขอเพียงเงิน และที่มา ของวัตถุเหล่านั้นบริสุทธิ์ แม้จะเพียงสลึงเดียว เราก็สามารถจะทำบุญได้ ส่วนเคล็ดลับสำคัญ ในการให้วัตถุทาน ที่จะทำให้ทานนั้น มีอานิสงส์แตกต่างกัน ท่านว่ามีอยู่ 3 ประการด้วยกัน นั่นก็คือ
1. ทาสทาน คือ การให้ของ ที่เลวกว่าที่เรากิน หรือของที่เลวกว่าที่เราใช้
2. สหายทาน คือ การให้ของ ที่เสมอกับที่เรากิน หรือที่เราใช้อยู่
3. สามีทาน คือ การให้ของ ที่ดีกว่าที่เรากิน ที่เราใช้อยู่
ท่านว่า นี้คือเคล็ดลับสำคัญ ที่จะทำให้ทาน มีอานิสงส์แตกต่างกันไป ดังนั้น เวลาที่เราจะให้ทานแก่ใคร เราก็ควรพิจารณาทานเหล่านี้ด้วย ว่าได้ให้ของที่ดีที่สุด หรือประณีตที่สุด เท่าที่เราจะทำได้หาได้ ในเวลานั้นหรือไม่
ส่วนเจตตาในการให้ทานนั้น ท่านว่าก็เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง ไม่ว่า ทั้งก่อนให้ ขณะให้ และหลังการให้ เราจะต้องมีเจตนาที่บริสุทธิ์ ไม่คิดหวังผล ตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น เพราะถ้าเราหวังผลตอบแทน กิเลสที่เกิดขึ้นนั้น ก็จะมาลดทอนบุญ ที่เราควรจะได้รับลงไปด้วย ซึ่งเป็นอุปสรรคมาขวางทางบุญไว้ ฉะนั้น เวลาที่เราทำบุญ ก่อนให้ เราก็ควรทำใจให้สบาย มีความตั้งใจที่จะทำบุญ เพื่อให้คนอื่นได้มีความสุข และก็ยังเป็นการสืบทอดพระพุทธศาสนา ให้เจริญรุ่งเรืองอีกด้วย ส่วนขณะให้ทาน ใจของเราก็จะต้อง ไม่คิดอะไรวุ่นวาย ไม่คิดมาก เพราะบางครั้งในขณะให้ทาน จะชอบคิดสงสัย หรือวิตกกังวลไปว่า ของที่เรากำลังให้นั้น สมควรที่คนอื่นจะรับหรือไม่ หรือของเหล่านี้ เขาจะเอาไปทำอะไร ซึ่งถ้าเราคิดมากท่านว่าจิตส่าย ท่านว่าขณะให้ จิตเราจะต้องนิ่ง เพื่อให้ทานนั้นสำเร็จ และเกิดบุญ เพราะถ้าจิตเราไม่นิ่ง ส่ายไปส่ายมา ก็กลายเป็นว่า การกระทำของเรานั้น ไปลดทอนกำลังบุญลง ส่วนหลังจากการให้ทานไปแล้ว ท่านว่าเราก็ไม่ควรรู้สึกเสียดาย หรือมีจิตใจคิดฟุ้งซ่าน เมื่อเราให้ไปแล้ว ก็ให้จบกันไป ถือว่าให้ขาดไปเลย แล้วการอธิษฐานหลังจากทำบุญ เราก็ควรอธิษฐานไปในทางที่ดี เพื่อให้ชีวิตมีความสุข อย่าไปอธิษฐานแบบมีข้อแม้ หรือแบบขอไปในตัวด้วย
ส่วนเคล็ดลับสำคัญอีกประการหนึ่ง นั่นก็คือ ผู้รับจะต้องบริสุทธิ์ ท่านว่า ถ้าผู้รับบริสุทธิ์ เราก็จะได้บุญมาก ซึ่งคำว่าผู้รับบริสุทธิ์นั้น ก็หมายความว่า หากผู้รับมีศีล เป็นคนดี บริสุทธิ์ มีความชอบธรรมมากเท่าใด ทานหรือบุญที่เราทำไปนั้น ก็จะเกิดผลมากขึ้นตามไปด้วย ส่วนการดูว่าผู้รับนั้น จะมีความบริสุทธิ์มากน้อยแค่ไหน ครูบาอาจารย์ท่านให้สังเกตุ ที่วัตรปฏิบัติของท่านเป็นสำคัญ และถ้าเรารู้แล้ว แต่ไม่มีโอกาส ได้ไปทำบุญกับท่านเหล่านั้น ก็ให้เราทำบุญด้วยวิธีง่ายๆ แต่ได้ผลมากเช่นเดียวกัน นั่นก็คือ เวลาที่เราใส่บาตร ทำสังฆทาน หรือจะทำบุญด้วยวิธีใด ที่ไหนก็ตาม ก็ขอให้เราอธิษฐาน ถวายแด่พระพุทธเจ้า เพราะพระสงฆ์ ที่ท่านกำลังรับนั้น ท่านก็ล้วนเป็นตัวแทนของพระพุทธองค์ อานิสงส์ของบุญที่เราจะได้รับ ก็ย่อมจะมากตามไปด้วย หากว่าเรานั้นเจตนาบริสุทธิ์ ตั้งใจทำบุญให้ทานอย่างแท้จริง
ครูบาอาจารย์ ท่านให้ข้อคิดเตือนสติว่า หากเราเพียรทำความดี หมั่นทำบุญให้ทานอย่างไม่หยุดยั้ง ทำทุกวันไม่ขาด และทำเท่าที่เราจะทำได้ เมื่อถึงเวลาที่บุญจะส่งผล มันก็จะทำหน้าที่ตามเหตุและปัจจัย บุญเหล่านั้นก็จะส่งผล ทำให้ชีวิตของเรา เจริญรุงเรืองร่ำรวยอย่างแน่นอน ครับ
ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิดในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญกับทุกท่าน ที่มีส่วนร่วมในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ

ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น