เราเกิดมาทำไม อยู่เพื่ออะไร ตายแล้วไปไหน

PURIFILM สร้างแรงบันดาลใจ ให้คติธรรม นำพลังสร้างชีวิต



สวัสดีครับคุณผู้ชมคุณผู้ฟังทุกท่าน ที่ติดตามรับชมภูริฟิล์ม คลิบนี้นะครับผมจะมาพูดคุยในเรื่องที่ว่า เราเกิดมาทำไม อยู่เพื่ออะไร และตายแล้วไปไหน ซึ่งในเรื่องนี้ ครูบาอาจารย์ท่านให้ข้อคิดเตือนสติว่า พระพุทธศาสนานั้น เป็นศาสนาที่มีเหตุผล ไม่บังคับให้เราเชื่อถืออย่างงมงาย แต่สอนให้เราใช้ปัญญาเป็นหลัก ในการดำเนินชีวิต และเมื่อความทุกข์เกิดขึ้น เราก็ใช้ปัญญาค้นคว้าหาสาเหตุ แล้วพิจารณาหาทางแก้ไขที่ถูกต้อง ความทุกข์เหล่านั้น ก็จะลดน้อยถอยลงไป ชีวิตของเรา ก็จะมีความสุขเพิ่มมากขึ้น เพราะฉะนั้นชีวิตของคนเรา ที่เป็นอยู่ด้วยปัญญา จึงเป็นชีวิตที่ประเสริฐ ท่านว่า หลักธรรมคำสอน ของพระพุทธศาสนานั้น ก็ชี้ลงไปที่เรื่องจิต เพราะเมื่อจิตหยุดปรุงแต่ง เราก็จะนิ่ง เมื่อจิตนิ่ง ย่อมจะมีสมรรถภาพ ในการรู้ทุกสิ่งตามความเป็นจริง ที่เรียกว่าปัญญานั่นเอง และเมื่อใจหมดความอยาก หมดความยึดมั่นถือมั่น จิตก็จะสว่าง และเมื่อจิตสว่างแล้ว ย่อมมีสมรรถภาพ ในการเห็นทุกสิ่ง ตรงตามความเป็นจริง ที่เรียกว่า ญาณ นั่นเอง



หลายๆ คนอาจจะสงสัยว่า เราเกิดมาทำไม อยู่เพื่ออะไร ตายแล้วเราจะไปไหน แล้วอะไรที่เป็นสิ่งดีที่สุด ที่เราควรจะได้ ซึ่งในเรื่องนี้ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่า กรรม และกิเลส ที่ฝังอยู่ในจิตใจของเรา ที่นับชาติไม่ถ้วนนี่เอง ที่ทำให้เราต้องเวียนว่าย และวนเวียนอยู่ในวัฏฏสงสารนี้ และยิ่งถ้าเราไปเกิดเป็นสัตว์ เป็นเปรต ในนรก ในอบายภูมิ ก็ย่อมจะทำให้เรานั้น เป็นทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส และถึงแม้ว่าเรา จะไปเกิด เป็นเทวดา หรือเป็นพรหม ที่ถือกันว่ามีความสุขความสบาย แต่เมื่อหมดบุญแล้วท่านว่า เราก็ต้องกลับมา เวียนว่ายตายเกิด ตามกรรมอีกครั้ง ความทุกข์ของเรา จึงไม่มีวันหมดสิ้นไป

ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่า การเกิดมาเป็นมนุษย์นั้น ถือว่าเป็นโอกาสดีที่สุด ที่จะฝึกฝนจิตใจของตัวเอง ให้หมดจากความทุกข์ เพราะมนุษย์เรา ย่อมก้าวไปสู่ ความแก่ ความเจ็บและความตาย ซึ่งจะทำให้เราได้เห็น ความเปลี่ยนแปลงของชีวิต ได้ประสบกับความทุกข์ ความเจ็บปวด และความทรมานจากความผิดหวัง หรือการพลัดพราก การสูญเสีย จึงทำให้เราเกิดความกลัว แล้วไม่ประมาทในชีวิต ท่านว่ามนุษย์เรานั้น มีสติปัญญา มีความสามารถ พอที่จะเข้าใจธรรมได้ ถ้าเรานั้นสนใจ ตั้งใจศรัทธาธรรม ซึ่งการที่เราได้มีโอกาส พบกับพุทธศาสนา และได้นำคำสอนมาปฏิบัติตาม ก็นับว่าโชคดีมากที่สุดแล้ว ที่เราได้มาพบเจอ กับสิ่ง ที่จะนำพาให้เรา หมดทุกข์ไปโดยสิ้นเชิง ที่ทำให้เราไม่ต้องตกหล่น ไปอยู่ในสถานที่ลำบากอีกต่อไป ท่านว่า จิตที่มีแต่ความโลภ ความโกรธ และความหลง เมื่อตายไปแล้ว ก็ย่อมไปสู่ภพภูมิ ที่ทุกข์ทรมาน แต่จิตที่นำธรรมไปฝึก ทำให้จิต ได้คลายลดละเบาบาง จากความหลง ย่อมจะไปสู่สุคติ ตราบจนกระทั้งดับทุกข์โดยสิ้นเชิง

การที่เรามีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ ก็เพื่อรอ วันเจ็บ และวันตาย เพราะเมื่อเราเกิดมาแล้ว ก็มีความตายติดตามตัวมาด้วย ซึ่งการเกิดกับความตายนี้ มันเป็นสิ่ง อันเดียวกัน ฉะนั้นเราควรเตรียมตัว ก่อนที่เราจะตายจากโลกนี้ไป เราอย่าได้ประมาท เพราะเราไม่รู้ว่า จะหมดลมหายใจไปวันไหน เราลองถามตัวเองดูก่อนว่า เราจะได้อะไรจากชีวิตนี้ ลองถามตัวเองดุบ่อยๆ ปัญญาของเราก็จะเกิดขึ้น เพราะทรัพย์สินเงินทอง ที่เรามีอยู่นั้น มันก็ส่งเราได้แค่โรงพยายาบาล ส่วนลูกหลาน ญาติพี่น้อง ก็จะส่งเราได้แค่เชิงตะกอน เราต้องไปตัวเปล่า เราไม่มีอะไรติดตัวไป ซึ่งก็เหมือนกับตอนที่เราเกิด เราก็มาแต่ตัวเหมือนกัน ท่านว่า มันน่าสลดสังเวช และเศร้าใจว่า การที่เราอุตส่าห์หาทรัพย์สมบัติ และเงินทองมากมาย มาด้วยความทุกข์ยากนั้น สุดท้าย เราก็เอาไปด้วยไม่ได้ เราจะต้องทิ้งไว้ให้คนอื่นใช้ต่อ เพราะทุกสิ่ง มันเป็นของคู่ อยู่กับโลกใบนี้ เราจึงต้องคืนให้กับโลกทั้งหมด ดังนั้นท่านว่า ถ้าเราเห็นสัจธรรมนี้แล้ว เราก็ควรจะแสวงหา สิ่งที่เราจะเอาไปด้วยในโลกหน้าได้ สิ่งนั้นก็คือ กรรมดี บุญกุศล ธรรมะ หรือความสงบ ความสบายใจ และการที่จิตของเราไร้ความทุกข์ แม้ปัจจุบันขณะนี้ เราก็จะมีแต่ความสุข ความสงบ และหมดปัญหาไม่ทุกข์ใจ เพราะเราทำใจได้ว่า เรามาอาศัยโลกนี้ อยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น ชีวิตเราไม่ได้อยู่มั่นคงถาวร ดังนั้นเราควรจะรีบเร่ง หาทางพ้นทุกข์ หาทางหลุดรอด จากปัญหาต่างๆ ด้วยการฝึกจิตให้สงบ มีธรรมะเป็นที่พึ่งทางใจ ก่อนที่แผ่นดินจะกลบหน้า หรือร่างกายจะถูกเผาไฟ จนเหลือแต่กระดูกเหลือแต่ขี้เถ้า

ธรรมชาติ เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับโลกใบนี้ บางครั้งอาจจะให้ความสงบ หรือให้ความร่มเย็นเป็นสุขแก่เรา แต่บางครั้ง ก็อาจจะเกิดภัยธรรมชาติ อย่างเช่น น้ำท่วม หรือฝนแล้ง จนทำให้เราเดือดร้อน ซึ่งชีวิตร่างกายของเรานั้นท่านว่า ก็เกิดขึ้นมาจาก ดิน น้ำ ลม ไฟ ธรรมชาติได้สร้างขึ้นมา ให้เราได้ใช้ ชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น และเมื่อถึงวันตาย เราก็ต้องคืนร่างกายนี้ กลับไปสู่ธรรมชาติอีกครั้ง เพราะฉะนั้น เราอย่าไปยึดถือ กับชีวิตนี้ให้มากนัก เพราะบางครั้งชีวิตเรา อาจจะมีความสุข มีความสบายใจ หรือมีเงินมีทองใช้ไม่ขาดมือ แต่บางครั้งเราเอง ก็มีความทุกข์ใจ เมื่อหาเงินทองไม่ได้ ท่านว่า ชีวิตเรานี้ ก็เป็นภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้น ดำรงอยู่ แปรปรวน เปลี่ยนแปลง ไม่แน่นอน แล้วก็ดับไป สิ้นไป ไม่มีอะไรเหลืออยู่ ซึ่งโลกนี้ก็เหมือนละครฉากหนึ่งเท่านั้น เราอย่าไปยึดติดผูกพันมาก และอย่าอาลัยอาวรณ์ กับบทบาทการแสดง ในชีวิตนี้ให้มากนัก ถ้าเราตกงาน หรือธุรกิจล้มเหลวหมดตัว ก็ไม่จำเป็น ที่เราจะต้องไปกลุ้มใจ หรือไปเครียด ไปเป็นทุกข์กับมันมาก ให้คิดเสียว่า เราโชคดีแล้ว ที่เราจะได้พักผ่อนร่างกาย และจิตใจของเรา จะได้ไม่ต้องไปแบกภาระให้มันหนักใจ เราจะได้มีโอกาส มีเวลาเรียนรู้ ศึกษาปฏิบัติชีวิต และธรรมะ เราจะได้พบเจอสิ่งที่ดีที่สุด ที่เราควรจะได้รับ เราจะได้พบหนทางออกจากปัญหา โดยมีธรรมะเป็นที่พึ่ง

ครูบาอาจารย์ท่านให้ข้อคิดเตือนสติว่า การศึกษาปฏิบัติธรรมนั้น ไม่ใช่การมองโลก และชีวิตในแง่ร้าย แต่เป็นการมองโลก และชีวิตตามความเป็นจริง เพื่อไม่ให้เราประมาท ลุ่มหลง และมัวเมาในชีวิต และเมื่อความทุกข์เกิดขึ้น พุทธศาสนาก็สอนให้เรา เผชิญหน้ากับความทุกข์นั้น โดยไม่หลบเลี่ยง หรือหนีไป แต่ให้มองดูความทุกข์เหล่านั้น ด้วยสติปัญญา และรู้เท่าทัน กับสาเหตุปัญหาที่เกิดทุกข์ แล้วพิจารณาหาทาง แก้ไขดับทุกข์ เพื่อให้เรารู้ความจริงของชีวิตว่า เราไม่สามารถจะแก้ไขปัญหาได้ทุกอย่าง แต่ถ้าเราแก้ไขได้ มันก็ดี แต่ถ้าเราแก้ไม่ได้ เราก็ต้องยอมรับสภาพ เราต้องรู้จักปลง แล้วปลดปล่อยปัญหานั้น ให้มันออกไปจากจิต พยายามทิ้งมันไปให้พ้นทางเดิน แล้วเราก็เดินเส้นทางใหม่ ที่ทำให้จิตของเราเบาสบาย ปลอดโปร่ง เป็นอิสระด้วยปัญญา พิจารณารู้เท่าทัน ความจริงของชีวิต เราจะมีทางออก และพบกับแสงสว่าง จะไม่เป็นทุกข์กับสิ่งใด เราจะไม่ถูกความทุกข์บีบคั้น จนทำให้เครียด หรือกลุ้มใจ ถึงแม้ว่าชีวิตจะมีความทุกข์ แต่เราก็จะมีความสุขได้ เพราะเรามีสติปัญญา ที่อยู่เหนือความทุกข์ ฉะนั้นท่านว่า เราต้องเตรียมตัวเตรียมใจอยู่เสมอว่า อะไรก็ไม่แน่นอน มันต้องเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ จงยอมรับกับความผิดหวัง และความพลัดพราก ด้วยใจที่สงบ เพราะมันเป็นสิ่งธรรมดา ที่คู่กับชีวิตของเรา เมื่อเรายอมรับสภาพความเป็นจริงแล้ว ใจของเราก็จะเบาสบาย ไม่หนัก ไร้กังวล เพราะได้มองเห็นว่า ความสุขที่แท้จริง ก็คือ การฝึกจิตใจให้สงบ ไม่อยากได้อะไร และรู้จักความพอดี ครับ

ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิดในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญกับทุกท่าน ที่มีส่วนร่วมในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ขันธ์ 5 คืออะไร ทำไมคนเป็นโรคซึมเศร้าต้องเรียนรู้ขันธ์ 5

สิริมงคล 8 ประการ เสริมบุญบารมี ให้ชีวิตรุ่งเรืองตลอดไป

มงคลชีวิต 4 ประการ หนทางสู่ความสำเร็จ

วิธีอ่านใจคน ศาสตร์เรียนรู้จุดอ่อน ด้วยจริต 6 ประการ

ฆราวาสธรรม 4 ประการ ธรรมะที่นำพาชีวิตให้ร่ำรวย