เป็นทุกข์ จากการพลัดพราก ควรจะปล่อยวางอย่างไร
PURIFILM สร้างแรงบันดาลใจ ให้คติธรรม นำพลังสร้างชีวิต
สวัสดีครับคุณผู้ชมคุณผู้ฟังทุกท่าน ที่ติดตามรับชมภูริฟิล์ม คลิบนี้นะครับผมจะมาพูดคุย ในเรื่องของคนที่เป็นทุกข์ จากการพลัดพราก ว่าควรปล่อยวางอย่างไร ซึ่งในเรื่องนี้ ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่า โลกใบนี้เป็นโลกของความทุกข์ เมื่อมีการเกิด ก็ย่อมจะต้องมีการแก่ การเจ็บ และตายลงไปในที่สุด ซึ่งเรื่องเหล่านี้ เราต่างก็ไม่พอใจกันนัก แต่เราเองก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเมื่อเราเกิดมา ความตายก็ติดตามมาด้วย ท่านว่าที่เรามีความทุกข์อยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะเราพยายามจะฝืนมัน ซึ่งธรรมดาของของโลกนั้น สรรพสิ่งทั้งหลาย มันก็เปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะ ไม่มีอะไรจะคงอยู่ในสถานะเดิม เมื่อสภาพเก่ามันสิ้นไป สภาพใหม่ ก็จะมาแทนที่ วิถีทางของธรรมชาติ มันเป็นแบบนี้ ท่านว่าความสุขในโลกนี้ ก็เปรียบเสมือนกับความฝัน และสิ่งของต่างๆ เราก็เพียงขอยืมเขามา อย่างเช่น ทรัพย์สมบัติ ข้าวของเงินทอง สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่ใช่ของเราทั้งสิ้น เมื่อเราตายไปแล้ว เราก็จะทิ้งหมด เราเอาไปไม่ได้ ฉะนั้น เราอย่าไปหลงมัวเมากับมันให้มาก ยกเว้น ความแก่ ความเจ็บ และความตาย ที่เป็นของเราแท้ๆ ซึ่งเราไม่สามารถจะหนีมันไปพ้น ท่านว่า คนเราเกิดมา ก็มาตัวเปล่า ไม่มีใครนำเอาทรัพย์สินมาด้วย และเมื่อตายไป เราก็จะต้องทิ้ง ทรัพย์สินที่หามาได้ เอาไว้เบื้องหลัง ซึ่งไม่มีใคร จะนำเอาทรัพย์สมบัติ แม้แต่ชิ้นเดียวติดตัวไปได้ ดังนั้น เราไม่ควรยึดมั่น ว่าสิ่งต่างๆ ทั้งหลาย เป็นของเราแต่เพียงผู้เดียว เราควรจะคิดอยู่เสมอว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนเป็นของโลกนี้ ส่วนที่อยู่ในความครอบครองของเรานั้น ก็เป็นเพียงการยืมมาใช้ ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น
พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอน ให้เราพิจารณาเนืองๆ ไว้ ๕ ประการ ซึ่งมีดังนี้
๑. เราต้องแก่เป็นธรรมดา เราจะไม่แก่ เป็นไปไม่ได้
๒. เราจะต้องเจ็บป่วยเป็นธรรมดา เราจะไม่เจ็บป่วยเป็นไปไม่ได้
๓. เราจะต้องตายเป็นธรรมดา เราจะไม่ตาย เป็นไปไม่ได้
๔. เราจะต้องพลัดพราก จากของรักของชอบใจด้วยกันทั้งสิ้น
๕. เรามีกรรมเป็นของตัวเอง เมื่อเราทำกรรมอะไรเอาไว้ ไม่ว่าจะกรรมดีหรือกรรมชั่วก็ตาม เราจะต้องได้รับผลแห่งกรรมนั้น อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ฉะนั้นความทุกข์จากการพลัดพราก ที่หลายๆ คน กำลังพบเจออยู่ เราก็ต้องเรียนรู้ในการปล่อยวาง อย่าปล่อยให้ตัวเองโศกเศร้าเสียใจ และจมอยู่กับความหลัง เหมือนกับคนที่ไร้อนาคต ท่านว่าการปล่อยให้ความโศกเศร้า ความเสียใจเข้ามาครอบงำ มีแต่จะทำให้เกิดโทษอย่างมากมาย เพราะความทุกข์ ที่เกิดขึ้นจากการพลัดพรากนั้น มันเป็นเรื่องที่ทรมานอย่างมาก และการที่เราจะไปบังคับ ไม่ให้มันพลัดพรากนั้น มันก็เป็นเรื่องสุดวิสัย เพราะเราทุกคนเกิดมา ก็ต้องพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก ที่พอใจด้วยกันทั้งสิ้น
ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่า มันเป็นเรื่องยาก ที่เราจะไม่โศกเศร้าเสียใจ เมื่อเราต้องพลัดพรากจากของรัก เหตุที่เป็นอย่างนี้ ก็เพราะเรา ยังมีความติดข้อง ผูกพันในสิ่งอันเป็นที่รัก ท่านว่าถ้าเราไม่ติดข้องผูกพัน เราก็จะไม่เสียใจ ฉะนั้นถ้าเราอยากจะปล่อยวาง เราก็ต้องมีความเข้าใจ ตามความเป็นจริงว่า สิ่งที่เราติดข้องและพอใจอยู่นั้น แท้ที่จริงแล้วมันก็เป็นเพียงสภาพธรรม เมื่อมันเกิดขึ้นมันก็ต้องดับไป ซึ่งเราจะต้องเข้าใจด้วยปัญญา ดังนั้นการอบรมเจริญปัญญา ด้วยการฟังธรรมหรือศึกษาธรรม ก็จะช่วยทำให้เราเข้าใจได้ง่ายขึ้น ท่านว่าเราค่อยๆ เรียนรู้สะสมความรู้ และความเข้าใจ ที่ละเล็กทีละน้อย ความโศกเศร้าเสียใจที่มีอยู่ มันก็จะค่อยๆ จางหายไป
ท่านว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ มันไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน เมื่อมันเริ่มต้นก็ย่อมจะมีการสิ้นสุด ฉะนั้นเมื่อเราเกิดมาแล้ว เราจะต้องการหรือไม่ต้องการก็ตาม วันหนึ่งเราก็ต้องพลัดพราก จากสิ่งอันเป็นที่รักที่ชอบใจทั้งสิ้น ซึ่งมันเป็นเรื่องธรรมดา ที่เราไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงไปได้ ดังนั้นเมื่อเราต้องพลัดพราก จากสิ่งอันเป็นที่รักแล้ว ความโศกเศร้าเสียใจ ก็ย่อมจะเกิดขึ้น ยิ่งถ้าเรารักมากห่วงมาก ก็จะยิ่งโศกเศร้าเสียใจมาก เมื่อถูกความโศกเศร้าครอบงำ เราก็ย่อมจะมีความทุกข์ กินไม่ได้นอนไม่หลับ หรืออาจจะถึงขั้นเจ็บไข้ได้ป่วย ท่านว่าบางคนนั้น ก็อาจจะต้องจมอยู่กับความหลัง จนไร้อนาคตหมดความหวังในชีวิต ซึ่งการปล่อยให้ความโศกเศร้า เข้ามาครอบงำนั้น ก็ย่อมจะทำให้เกิดโทษอย่างมากมาย ฉะนั้นเราต้องศึกษา หาวิธีเพื่อมาระงับความโศกเศร้า และอุบายที่พระพุทธเจ้า ท่านได้ใช้สอนเตือนสติ ให้กับคนที่กำลังโศกเศร้าเสียใจ เพื่อให้หายจากความทุกข์ นั่นก็คือเรื่องของ นางกิสาโคตมี ซึ่งมีเรื่องเล่าดังต่อไปนี้
ในอดีตกาลที่กรุงสาวัตถี มีหญิงสาวยากจนคนหนึ่ง นางชื่อว่า กิสาโคตมี นางกิสาโคตมีนี้ เมื่อแต่งงานแล้ว พ่อแม่และญาติของสามี ต่างก็พากันดูหมิ่นดูแคลนนาง ที่เกิดมาในตระกูลยากจน และต่อมาไม่นาน เมื่อนางก็ได้คลอดลูกชายออกมา พ่อแม่และญาติของสามี ต่างก็ชื่นชมและยกย่องนาง แต่ความสุขของนางนั้นก็อยู่ได้ไม่นาน เมื่ออยู่ๆ ลูกชายของนาง ก็ตายลงไป ในขณะที่กำลังวิ่งเล่น นางกิสาโคตมี โศกเศร้าเสียใจเป็นอย่างมาก นางร้องให้แทบจะเป็นบ้า และด้วยความโศกเศร้าเสียใจนี้ นางจึงอุ้มร่างลูกชายวิ่งไปทั่วเมือง เพื่อร้องขอยาให้กับลูกชายตัวเอง โดยหวังว่าจะมียาที่ช่วยชุบชีวิต ให้ลูกชายของนางฟื้นขึ้นมาได้ จนผ่านไปสักพักหนึ่ง ก็มีคนแนะนำว่า ให้นางไปขอยาจากพระพุทธเจ้า เมื่อนางได้ยินเช่นนั้น ก็รีบไปขอยาจากพระศาสดา พระศาสดาได้ตรัสกับนางว่า ถ้าหากเธออยากจะช่วยลูกชายจริงๆ ก็จงไปเอาเมล็ดผักกาดหยิบมือหนึ่ง มาจากบ้านของคน ที่ไม่เคยมีใครตายมาก่อน เมื่อได้ยินเช่นนั้น นางกิสาโคตมีก็รู้สึกดีใจอย่างมาก รีบอุ้มร่างลูกชาย วิ่งเข้าไปในเมืองอีกครั้ง และเมื่อไปถึงบ้านหลังแรก นางก็บอกไปว่า ถ้าบ้านหลังนี้ หากไม่เคยมีใครตายมาก่อน ก็ขอให้แบ่งเมล็ดผักกาด มาให้นางด้วยเถิด ปรากฎว่าบ้านหลังแรกนั้น ต่างก็เคยมีญาติพี่น้อง ตายมาแล้วนับไม่ถ้วน นางกิสาโคตมี เมื่อได้ยินดังนั้น นางก็ยังไม่ถอดใจ นางพยายามอุ้มร่างลูกชาย เดินไปถามหลังที่สอง หลังสาม หลังสี่ และหลังอื่นๆ จนกระทั้งถึงเวลาเย็น ก็ยังไม่ได้เมล็ดผักกาด แม้แต่หยิบมือเดียว เพราะบ้านทุกหลังที่นางไปนั้น ก็ล้วนแต่มีคนเคยตายมาแล้วทั้งสิ้น นางกิสาโคตมี จึงได้สติ และคิดว่า ตัวเรานั้นสำคัญว่า ลูกชายของเราเท่านั้นที่ตายลงไป แต่แท้ที่จริงแล้วทุกบ้านในเมืองนี้ ก็ล้วนมีคนเคยตายมาแล้วทั้งสิ้น เมื่อนางคิดได้ดังนั้น นางก็รู้สึกสลดใจ และก็คลายความโศกเศร้าลง นางอุ้มร่างลูกชายเดินไปนอกเมือง แล้วก็ทิ้งศพลูกชายเอาไว้ที่ป่าช้า พร้อมกับกล่าวว่า ความไม่เที่ยงนั้น ไม่ได้เกิดเฉพาะกับคนจน หรือกับคนรวยเท่านั้น แต่มันเกิดขึ้นกับชาวโลกทั้งหมด รวมทั้งเทวโลกด้วย หลังจากนั้น นางก็กลับไปเฝ้าพระศาสดา พระพุทธเจ้าตรัสถามนางว่า เธอได้เมล็ดผักกาดมาหรือไม่ นางกิสาโคตมี ก็ตอบปฏิเสธ พระศาสดาจึงตรัสว่า เธอเข้าใจว่า ลูกชายของเธอเท่านั้นที่ตายลงไป แต่ในความจริงแล้ว ความตายเป็นธรรมที่ยั่งยืน สำหรับสัตว์ทั้งหลาย
ซึ่งเรื่องราวของนางกิสาโคตมีนี้ เป็นข้อคิดเตือนสติให้กับเราเป็นอย่างมาก เพราะนางกิสาโคตมีนั้น ถูกความโศกเศร้าเสียใจ ครอบงำอย่างหนัก หากพระพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่มียาชนิดใด ที่จะรักษาลูกชายของเธอได้ นางเองก็คงจะไม่เชื่อ แต่พระองค์ตรัสให้นาง ไปหาเมล็ดผักกาด จากบ้านของคนที่ไม่เคยมีใครตาย เมื่อนางมีความหวัง ว่าจะได้ยามารักษาลูกชาย นางก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก แต่เมื่อนางตระเวนไปทั่วเมืองแล้ว ก็ได้ทราบความเป็นจริงของชีวิต ว่าทุกคนเกิดมานั้น ก็ล้วนจะต้องตายด้วยกันทั้งสิ้น นางจึงรู้สึกสลดใจ และก็คิดได้ว่า คนเราทุกคนนั้น มีความตายเป็นธรรมดา ไม่ใช่ลูกชายของเราเท่านั้นที่ตายลงไป คนเราทุกคนเกิดมาก็ต้องตาย เมื่อนางคิดได้อย่างนี้ นางก็คลายความโศกเศร้า และคลายความทุกข์ลงไปได้ ครับ
ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิดในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญกับทุกท่าน ที่มีส่วนร่วมในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ
สวัสดีครับคุณผู้ชมคุณผู้ฟังทุกท่าน ที่ติดตามรับชมภูริฟิล์ม คลิบนี้นะครับผมจะมาพูดคุย ในเรื่องของคนที่เป็นทุกข์ จากการพลัดพราก ว่าควรปล่อยวางอย่างไร ซึ่งในเรื่องนี้ ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่า โลกใบนี้เป็นโลกของความทุกข์ เมื่อมีการเกิด ก็ย่อมจะต้องมีการแก่ การเจ็บ และตายลงไปในที่สุด ซึ่งเรื่องเหล่านี้ เราต่างก็ไม่พอใจกันนัก แต่เราเองก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเมื่อเราเกิดมา ความตายก็ติดตามมาด้วย ท่านว่าที่เรามีความทุกข์อยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะเราพยายามจะฝืนมัน ซึ่งธรรมดาของของโลกนั้น สรรพสิ่งทั้งหลาย มันก็เปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะ ไม่มีอะไรจะคงอยู่ในสถานะเดิม เมื่อสภาพเก่ามันสิ้นไป สภาพใหม่ ก็จะมาแทนที่ วิถีทางของธรรมชาติ มันเป็นแบบนี้ ท่านว่าความสุขในโลกนี้ ก็เปรียบเสมือนกับความฝัน และสิ่งของต่างๆ เราก็เพียงขอยืมเขามา อย่างเช่น ทรัพย์สมบัติ ข้าวของเงินทอง สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่ใช่ของเราทั้งสิ้น เมื่อเราตายไปแล้ว เราก็จะทิ้งหมด เราเอาไปไม่ได้ ฉะนั้น เราอย่าไปหลงมัวเมากับมันให้มาก ยกเว้น ความแก่ ความเจ็บ และความตาย ที่เป็นของเราแท้ๆ ซึ่งเราไม่สามารถจะหนีมันไปพ้น ท่านว่า คนเราเกิดมา ก็มาตัวเปล่า ไม่มีใครนำเอาทรัพย์สินมาด้วย และเมื่อตายไป เราก็จะต้องทิ้ง ทรัพย์สินที่หามาได้ เอาไว้เบื้องหลัง ซึ่งไม่มีใคร จะนำเอาทรัพย์สมบัติ แม้แต่ชิ้นเดียวติดตัวไปได้ ดังนั้น เราไม่ควรยึดมั่น ว่าสิ่งต่างๆ ทั้งหลาย เป็นของเราแต่เพียงผู้เดียว เราควรจะคิดอยู่เสมอว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนเป็นของโลกนี้ ส่วนที่อยู่ในความครอบครองของเรานั้น ก็เป็นเพียงการยืมมาใช้ ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น
พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอน ให้เราพิจารณาเนืองๆ ไว้ ๕ ประการ ซึ่งมีดังนี้
๑. เราต้องแก่เป็นธรรมดา เราจะไม่แก่ เป็นไปไม่ได้
๒. เราจะต้องเจ็บป่วยเป็นธรรมดา เราจะไม่เจ็บป่วยเป็นไปไม่ได้
๓. เราจะต้องตายเป็นธรรมดา เราจะไม่ตาย เป็นไปไม่ได้
๔. เราจะต้องพลัดพราก จากของรักของชอบใจด้วยกันทั้งสิ้น
๕. เรามีกรรมเป็นของตัวเอง เมื่อเราทำกรรมอะไรเอาไว้ ไม่ว่าจะกรรมดีหรือกรรมชั่วก็ตาม เราจะต้องได้รับผลแห่งกรรมนั้น อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ฉะนั้นความทุกข์จากการพลัดพราก ที่หลายๆ คน กำลังพบเจออยู่ เราก็ต้องเรียนรู้ในการปล่อยวาง อย่าปล่อยให้ตัวเองโศกเศร้าเสียใจ และจมอยู่กับความหลัง เหมือนกับคนที่ไร้อนาคต ท่านว่าการปล่อยให้ความโศกเศร้า ความเสียใจเข้ามาครอบงำ มีแต่จะทำให้เกิดโทษอย่างมากมาย เพราะความทุกข์ ที่เกิดขึ้นจากการพลัดพรากนั้น มันเป็นเรื่องที่ทรมานอย่างมาก และการที่เราจะไปบังคับ ไม่ให้มันพลัดพรากนั้น มันก็เป็นเรื่องสุดวิสัย เพราะเราทุกคนเกิดมา ก็ต้องพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก ที่พอใจด้วยกันทั้งสิ้น
ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่า มันเป็นเรื่องยาก ที่เราจะไม่โศกเศร้าเสียใจ เมื่อเราต้องพลัดพรากจากของรัก เหตุที่เป็นอย่างนี้ ก็เพราะเรา ยังมีความติดข้อง ผูกพันในสิ่งอันเป็นที่รัก ท่านว่าถ้าเราไม่ติดข้องผูกพัน เราก็จะไม่เสียใจ ฉะนั้นถ้าเราอยากจะปล่อยวาง เราก็ต้องมีความเข้าใจ ตามความเป็นจริงว่า สิ่งที่เราติดข้องและพอใจอยู่นั้น แท้ที่จริงแล้วมันก็เป็นเพียงสภาพธรรม เมื่อมันเกิดขึ้นมันก็ต้องดับไป ซึ่งเราจะต้องเข้าใจด้วยปัญญา ดังนั้นการอบรมเจริญปัญญา ด้วยการฟังธรรมหรือศึกษาธรรม ก็จะช่วยทำให้เราเข้าใจได้ง่ายขึ้น ท่านว่าเราค่อยๆ เรียนรู้สะสมความรู้ และความเข้าใจ ที่ละเล็กทีละน้อย ความโศกเศร้าเสียใจที่มีอยู่ มันก็จะค่อยๆ จางหายไป
ท่านว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ มันไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน เมื่อมันเริ่มต้นก็ย่อมจะมีการสิ้นสุด ฉะนั้นเมื่อเราเกิดมาแล้ว เราจะต้องการหรือไม่ต้องการก็ตาม วันหนึ่งเราก็ต้องพลัดพราก จากสิ่งอันเป็นที่รักที่ชอบใจทั้งสิ้น ซึ่งมันเป็นเรื่องธรรมดา ที่เราไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงไปได้ ดังนั้นเมื่อเราต้องพลัดพราก จากสิ่งอันเป็นที่รักแล้ว ความโศกเศร้าเสียใจ ก็ย่อมจะเกิดขึ้น ยิ่งถ้าเรารักมากห่วงมาก ก็จะยิ่งโศกเศร้าเสียใจมาก เมื่อถูกความโศกเศร้าครอบงำ เราก็ย่อมจะมีความทุกข์ กินไม่ได้นอนไม่หลับ หรืออาจจะถึงขั้นเจ็บไข้ได้ป่วย ท่านว่าบางคนนั้น ก็อาจจะต้องจมอยู่กับความหลัง จนไร้อนาคตหมดความหวังในชีวิต ซึ่งการปล่อยให้ความโศกเศร้า เข้ามาครอบงำนั้น ก็ย่อมจะทำให้เกิดโทษอย่างมากมาย ฉะนั้นเราต้องศึกษา หาวิธีเพื่อมาระงับความโศกเศร้า และอุบายที่พระพุทธเจ้า ท่านได้ใช้สอนเตือนสติ ให้กับคนที่กำลังโศกเศร้าเสียใจ เพื่อให้หายจากความทุกข์ นั่นก็คือเรื่องของ นางกิสาโคตมี ซึ่งมีเรื่องเล่าดังต่อไปนี้
ในอดีตกาลที่กรุงสาวัตถี มีหญิงสาวยากจนคนหนึ่ง นางชื่อว่า กิสาโคตมี นางกิสาโคตมีนี้ เมื่อแต่งงานแล้ว พ่อแม่และญาติของสามี ต่างก็พากันดูหมิ่นดูแคลนนาง ที่เกิดมาในตระกูลยากจน และต่อมาไม่นาน เมื่อนางก็ได้คลอดลูกชายออกมา พ่อแม่และญาติของสามี ต่างก็ชื่นชมและยกย่องนาง แต่ความสุขของนางนั้นก็อยู่ได้ไม่นาน เมื่ออยู่ๆ ลูกชายของนาง ก็ตายลงไป ในขณะที่กำลังวิ่งเล่น นางกิสาโคตมี โศกเศร้าเสียใจเป็นอย่างมาก นางร้องให้แทบจะเป็นบ้า และด้วยความโศกเศร้าเสียใจนี้ นางจึงอุ้มร่างลูกชายวิ่งไปทั่วเมือง เพื่อร้องขอยาให้กับลูกชายตัวเอง โดยหวังว่าจะมียาที่ช่วยชุบชีวิต ให้ลูกชายของนางฟื้นขึ้นมาได้ จนผ่านไปสักพักหนึ่ง ก็มีคนแนะนำว่า ให้นางไปขอยาจากพระพุทธเจ้า เมื่อนางได้ยินเช่นนั้น ก็รีบไปขอยาจากพระศาสดา พระศาสดาได้ตรัสกับนางว่า ถ้าหากเธออยากจะช่วยลูกชายจริงๆ ก็จงไปเอาเมล็ดผักกาดหยิบมือหนึ่ง มาจากบ้านของคน ที่ไม่เคยมีใครตายมาก่อน เมื่อได้ยินเช่นนั้น นางกิสาโคตมีก็รู้สึกดีใจอย่างมาก รีบอุ้มร่างลูกชาย วิ่งเข้าไปในเมืองอีกครั้ง และเมื่อไปถึงบ้านหลังแรก นางก็บอกไปว่า ถ้าบ้านหลังนี้ หากไม่เคยมีใครตายมาก่อน ก็ขอให้แบ่งเมล็ดผักกาด มาให้นางด้วยเถิด ปรากฎว่าบ้านหลังแรกนั้น ต่างก็เคยมีญาติพี่น้อง ตายมาแล้วนับไม่ถ้วน นางกิสาโคตมี เมื่อได้ยินดังนั้น นางก็ยังไม่ถอดใจ นางพยายามอุ้มร่างลูกชาย เดินไปถามหลังที่สอง หลังสาม หลังสี่ และหลังอื่นๆ จนกระทั้งถึงเวลาเย็น ก็ยังไม่ได้เมล็ดผักกาด แม้แต่หยิบมือเดียว เพราะบ้านทุกหลังที่นางไปนั้น ก็ล้วนแต่มีคนเคยตายมาแล้วทั้งสิ้น นางกิสาโคตมี จึงได้สติ และคิดว่า ตัวเรานั้นสำคัญว่า ลูกชายของเราเท่านั้นที่ตายลงไป แต่แท้ที่จริงแล้วทุกบ้านในเมืองนี้ ก็ล้วนมีคนเคยตายมาแล้วทั้งสิ้น เมื่อนางคิดได้ดังนั้น นางก็รู้สึกสลดใจ และก็คลายความโศกเศร้าลง นางอุ้มร่างลูกชายเดินไปนอกเมือง แล้วก็ทิ้งศพลูกชายเอาไว้ที่ป่าช้า พร้อมกับกล่าวว่า ความไม่เที่ยงนั้น ไม่ได้เกิดเฉพาะกับคนจน หรือกับคนรวยเท่านั้น แต่มันเกิดขึ้นกับชาวโลกทั้งหมด รวมทั้งเทวโลกด้วย หลังจากนั้น นางก็กลับไปเฝ้าพระศาสดา พระพุทธเจ้าตรัสถามนางว่า เธอได้เมล็ดผักกาดมาหรือไม่ นางกิสาโคตมี ก็ตอบปฏิเสธ พระศาสดาจึงตรัสว่า เธอเข้าใจว่า ลูกชายของเธอเท่านั้นที่ตายลงไป แต่ในความจริงแล้ว ความตายเป็นธรรมที่ยั่งยืน สำหรับสัตว์ทั้งหลาย
ซึ่งเรื่องราวของนางกิสาโคตมีนี้ เป็นข้อคิดเตือนสติให้กับเราเป็นอย่างมาก เพราะนางกิสาโคตมีนั้น ถูกความโศกเศร้าเสียใจ ครอบงำอย่างหนัก หากพระพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่มียาชนิดใด ที่จะรักษาลูกชายของเธอได้ นางเองก็คงจะไม่เชื่อ แต่พระองค์ตรัสให้นาง ไปหาเมล็ดผักกาด จากบ้านของคนที่ไม่เคยมีใครตาย เมื่อนางมีความหวัง ว่าจะได้ยามารักษาลูกชาย นางก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก แต่เมื่อนางตระเวนไปทั่วเมืองแล้ว ก็ได้ทราบความเป็นจริงของชีวิต ว่าทุกคนเกิดมานั้น ก็ล้วนจะต้องตายด้วยกันทั้งสิ้น นางจึงรู้สึกสลดใจ และก็คิดได้ว่า คนเราทุกคนนั้น มีความตายเป็นธรรมดา ไม่ใช่ลูกชายของเราเท่านั้นที่ตายลงไป คนเราทุกคนเกิดมาก็ต้องตาย เมื่อนางคิดได้อย่างนี้ นางก็คลายความโศกเศร้า และคลายความทุกข์ลงไปได้ ครับ
ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิดในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญกับทุกท่าน ที่มีส่วนร่วมในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ

ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น