เมื่อมีความทุกข์ จะปล่อยวางได้อย่างไร
PURIFILM สร้างแรงบันดาลใจ ให้คติธรรม นำพลังสร้างชีวิต
สวัสดีครับคุณผู้ชมคุณผู้ฟังทุกท่าน ที่ติดตามรับชมภูริฟิล์ม คลิบนี้นะครับผมจะมาพูดคุย ในเรื่องของความทุกข์ ว่าเราควรจะทำอย่างไร จึงจะปล่อยวางได้ ซึ่งในเรื่องนี้ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่า ชีวิตของคนเรานั้น เมื่อมีความสุขเข้ามา ความทุกข์ที่มีอยู่ก็จะหายไป และถ้าความทุกข์เข้ามา ความสุขที่เรามีอยู่ ก็จะหายไปเช่นกัน ฉะนั้น เราควรจะทำอย่างไร ให้เพื่อให้มีชีวิตอยู่กับสิ่ง ที่ผ่านมา และผ่านไปได้ โดยที่เราอยู่กับมัน ได้อย่างไม่มีความทุกข์ ท่านว่าสิ่งทั้งหลาย ที่มันผ่านมาและผ่านไปนั้น ในความเป็นจริงแล้ว มันไม่มีความหมายอะไร เพราะมันไม่อยู่จริง มันก็แค่เป็นสิ่งสมมุติ ว่ามีความสุข มีความทุกข์ ซึ่งถ้าหากเราไม่รู้ตามความเป็นจริง ทั้งความสุข และความทุกข์ เราก็จะวิ่งตามมัน สุดท้ายก็จะกลายเป็นความว่างเปล่า เพราะในความเป็นจริงแล้ว สิ่งทั้งสองนี้ มันไม่มีอยู่จริง แต่เราเองต่างหาก ที่เห็นภาพลวงตาเหล่านั้น เราเห็นสิ่งสมมุติ ทั้งความสุข และความทุกข์ ว่ามันมีค่าสำหรับเรา และเมื่อเราคิดว่ามันมีค่า พอเจอกับความทุกข์ เราก็ให้คุณค่ากับมัน อย่างเช่น เมื่อเจอกับอุปสรรคปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องเงิน หรือเรื่องความรัก เราก็ต้องมีความทุกข์ แล้วเราก็จะจมอยู่กับมัน เราจะออกจากความทุกข์ไม่ได้ และก็ไม่ยอมปล่อยมันด้วย สุดท้ายเราก็จมอยู่กับความทุกข์ ส่วนความสุขนั้นเราก็ยึดติดกับมัน จนทำให้ตัวเองนั้น ต้องจมอยู่ในความสุข
ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่า บางคนนั้นเมื่อความสุขหายไป และเสื่อมไปตามกาลเวลา ชีวิตก็กลายเป็นคนที่มีความทุกข์ ท่านว่าความจริงแล้ว ความทุกข์กับความสุขมันก็ไปๆ มาๆ มันคอยหลอกตาหลอกใจเราตลอด เพื่อให้เราวิ่งไปตามมัน และพอเราวิ่งตามมันไปแล้ว เราก็จะเป็นทุกข์ ซึ่งการที่เรายังเป็นทุกข์อยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะเรายังวิ่งตามมันไม่ยอมหยุด เราไม่ยอมอยู่นิ่งๆ เพื่อเฝ้าดูมัน ท่านว่าถ้าเราทำจิตให้อยู่นิ่ง เราก็จะไม่วิ่งตามความสุข และความทุกข์ เราจะไม่วุ่นวายกับมัน ฉะนั้นเราต้องหัดอยู่นิ่งๆ และมองความเคลื่อนไหวของมัน เราจะเห็นว่ามันก็อยู่ของมันอย่างนั้น เป็นธรรมดา เป็นปกติ ดังนั้นเราอย่าไปวิ่งตามมัน จงปล่อยใจให้ว่าง ทำจิตใจให้นิ่ง และหมั่นฝึกสมาธิให้จิตเข้มแข็งมีพลัง จิตของเราจะได้สว่าง จะได้เกิดความสุข ที่เป็นสุขอย่างแท้จริง คือ มีความสุข ที่ไม่ต้องวิ่งตามสิ่งใด เพราะจริงๆ แล้วความสุขนั้น มันมีอยู่ในตัวเรา ซึ่งเป็นความสุขที่เที่ยงแท้ และสามารถนำพาเรา ให้ออกจากกองทุกข์ได้ ท่านว่าเราจะต้องหมั่นฝึกจิตให้บริสุทธิ์ และหมั่นทำสมาธิบ่อยๆ เพราะหากเราไม่มีสมาธิแล้ว เราก็จะวิ่งไปตามความสุขบ้าง ตามความทุกข์บ้าง หรือหลงไปอยู่กับความสุขบ้าง ความทุกข์บ้าง ซึ่งจริงๆ แล้วสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ มันไม่มีอยู่จริง มันเพียงแค่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ฉะนั้นถ้าเราทำจิตให้นิ่ง เมื่อความสุขหรือความทุกข์ผ่านมา เราก็จะปล่อยให้มันผ่านไป เราจะไม่สนใจกับมัน จิตของเราก็จะนิ่งและเข้มแข็งขึ้น
ถ้าจิตเรามีพลังเข้มแข็งแล้ว ก็ให้หมั่นพิจารณาความไม่เที่ยง ซึ่งเราจะเห็นความไม่เที่ยง ของความสุขและความทุกข์ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเรา และเมื่อความสุขผ่านเข้ามา เราก็จะไม่หลง ไม่ยึดติด ไม่วุ่นว่าย ไม่คล้อยตามมัน และเมื่อความสุขผ่านไปแล้ว เราก็จะไม่เป็นทุกข์ และถ้าหากความทุกข์ผ่านเข้ามา เราก็จะไม่คล้อยตาม ไม่สนใจมัน และความทุกข์เหล่านั้น ก็จะอยู่กับเราไม่ได้ มันก็จะหายไป ท่านว่าถ้าเราทำได้อย่างนี้ เราก็จะไม่วิ่งตามความสุข และความทุกข์ เพราะมันจะทำให้เรา หาความสุขที่แท้จริงไม่ได้เลย ดังนั้นเราต้องมีสมาธิอยู่ตลอด เพื่อหนุนจิตของเราให้เข้มแข็ง เพราะถ้าจิตของเราไม่เข้มแข็งพอ เราก็จะต้านกับสิ่งหลอกลวงทั้งหลายไม่ได้ แต่ถ้าเราฝึกสมาธิจนเข้มแข็งแล้ว จิตของเราก็จะแข็งแกร่ง และเมื่อสิ่งต่างๆ ผ่านเข้ามาในชีวิต เราก็จะรู้ทันและเข้าใจมัน ฉะนั้นเราต้องคอยพิจารณา ให้เห็นความไม่เที่ยงนี้อยู่บ่อยๆ เราจะได้ถอดถอนความยึดติด ความลุ่มหลงกับความสุข และความทุกข์ให้หมดไป ท่านว่าการที่เราหมั่นพิจารณา จนเห็นสิ่งทั้งหลายเป็นธรรมดา เป็นปกติของมัน จะทำให้เราวางเฉยกับมันได้ และเมื่อมีความสุขเข้ามา เราก็จะคิดว่ามันไม่เที่ยงแท้ เราจะไม่ลุ่มหลงกับมัน เพราะเรารู้ว่า เดี๋ยวมันก็ผ่านไป จิตของเราก็จะอยู่เหนือมัน เราไม่ถูกความสุขครอบงำ หรือเมื่อความทุกข์เข้ามา เราก็จะระลึกรู้ คิดว่ามันไม่เที่ยงแท้ เพราะเดี๋ยวความทุกข์มันก็ผ่านไป ซึ่งจะทำให้จิตของเราอยู่เหนือ ความทุกข์ และความสุข
ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่า ความสุขที่แท้จริง ก็คือ การที่เราไม่วิ่งไม่ตามสิ่งกระทบภายนอก และเมื่อถึงจุดๆ หนึ่ง เราก็จะมีพลังที่อยู่เหนือ ความสุขและความทุกข์ ดังนั้นเราต้องฝึกตนเองให้สามารถ อยู่กับสิ่งที่ผ่านมาและผ่านไป โดยไม่มีความทุกข์อะไร เราจึงจะสามารถ จะดำรงชีวิตอยู่อย่างมีความสุข และจิตของเราก็จะไม่เร่าร้อน ไม่วิ่งวุ่นไปตามความสุข และความทุกข์เหล่านั้น เราจะอยู่อย่างมีความสุข และอยู่อย่างสงบ ท่านว่าสิ่งทั้งหลายที่มัน ผ่านมาและผ่านไปนั้น ถ้าเราฝึกตนเอง ให้มองเห็นเป็นธรรมดา ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ถ้าเราฝึกให้เห็นอย่างชัดเจน มันก็จะไม่หลอกให้เราเป็นทุกข์ และเมื่อมีสิ่งใดเกิดขึ้น ถ้าเราพิจารณามัน ว่าไม่มีอยู่จริง มันเป็นเพียงสิ่งสมมุติ สิ่งเหล่านั้นมันคือว่าง แล้วเราก็ปล่อยให้มันผ่านไป ไม่ว่าจะเป็นเสียงชื่นชม หรือสิ่งที่น่ายินดี เราก็ปล่อยมันไป เราไม่ตกไปอยู่ในบ่วงของมัน เราไม่สนใจมัน ไม่ว่าใครจะด่า จะว่าเราก็ตาม เราจะนิ่งเฉย เพราะเราเข้าใจว่า สิ่งทั้งหลายมันไม่มีอยู่จริง เราปล่อยให้มันผ่านไป เป็นไปตามธรรมดาของมัน ถ้าเราทำได้อย่างนี้ เราก็จะไม่เป็นทุกข์ เพราะสรรพสิ่งทั้งหลายมันว่างเปล่า มันไม่มีอยู่จริง ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งสมมุติ ท่านว่าถ้าเราพิจารณาให้เห็น ให้เข้าใจตามความเป็นจริงอย่างนี้ แม้แต่ตัวเราเองก็จะว่างเปล่า เพราะสิ่งที่ทำไปเมื่อวาน มันก็ผ่านไปแล้ว สิ่งที่จะทำในวันนี้ มันก็เป็นเรื่องของวันนี้ สิ่งที่จะทำในพรุ่งนี้ มันก็จะเป็นเรื่องของพรุ่งนี้ และวันนี้เดี๋ยวก็กลายเป็นพรุ่งนี้ และพอถึงพรุ่งนี้ วันนี้ก็จะกลายเป็นเมื่อวาน ซึ่งมันจะเป็นแบบนี้ตลอดไป จนหมดเวลาของเรา และเมื่อหมดเวลาของเราแล้ว เราก็จะเสื่อมสลายไปจากโลกใบนี้ จะไม่มีวันนี้ พรุ่งนี้สำหรับเราอีก เราก็จะไปตามกรรมของเรา ฉะนั้นจงอย่าไปสนใจ อย่าไปยึดติดกับโลกสมมุติให้มาก จงถอดถอนความยึดติด ทั้งความสุขและความทุกข์ ด้วยความเห็นว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มันไม่เที่ยงแท้และแน่นอนครับ
ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิดในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญกับทุกท่าน ที่มีส่วนร่วมในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ
สวัสดีครับคุณผู้ชมคุณผู้ฟังทุกท่าน ที่ติดตามรับชมภูริฟิล์ม คลิบนี้นะครับผมจะมาพูดคุย ในเรื่องของความทุกข์ ว่าเราควรจะทำอย่างไร จึงจะปล่อยวางได้ ซึ่งในเรื่องนี้ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่า ชีวิตของคนเรานั้น เมื่อมีความสุขเข้ามา ความทุกข์ที่มีอยู่ก็จะหายไป และถ้าความทุกข์เข้ามา ความสุขที่เรามีอยู่ ก็จะหายไปเช่นกัน ฉะนั้น เราควรจะทำอย่างไร ให้เพื่อให้มีชีวิตอยู่กับสิ่ง ที่ผ่านมา และผ่านไปได้ โดยที่เราอยู่กับมัน ได้อย่างไม่มีความทุกข์ ท่านว่าสิ่งทั้งหลาย ที่มันผ่านมาและผ่านไปนั้น ในความเป็นจริงแล้ว มันไม่มีความหมายอะไร เพราะมันไม่อยู่จริง มันก็แค่เป็นสิ่งสมมุติ ว่ามีความสุข มีความทุกข์ ซึ่งถ้าหากเราไม่รู้ตามความเป็นจริง ทั้งความสุข และความทุกข์ เราก็จะวิ่งตามมัน สุดท้ายก็จะกลายเป็นความว่างเปล่า เพราะในความเป็นจริงแล้ว สิ่งทั้งสองนี้ มันไม่มีอยู่จริง แต่เราเองต่างหาก ที่เห็นภาพลวงตาเหล่านั้น เราเห็นสิ่งสมมุติ ทั้งความสุข และความทุกข์ ว่ามันมีค่าสำหรับเรา และเมื่อเราคิดว่ามันมีค่า พอเจอกับความทุกข์ เราก็ให้คุณค่ากับมัน อย่างเช่น เมื่อเจอกับอุปสรรคปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องเงิน หรือเรื่องความรัก เราก็ต้องมีความทุกข์ แล้วเราก็จะจมอยู่กับมัน เราจะออกจากความทุกข์ไม่ได้ และก็ไม่ยอมปล่อยมันด้วย สุดท้ายเราก็จมอยู่กับความทุกข์ ส่วนความสุขนั้นเราก็ยึดติดกับมัน จนทำให้ตัวเองนั้น ต้องจมอยู่ในความสุข
ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่า บางคนนั้นเมื่อความสุขหายไป และเสื่อมไปตามกาลเวลา ชีวิตก็กลายเป็นคนที่มีความทุกข์ ท่านว่าความจริงแล้ว ความทุกข์กับความสุขมันก็ไปๆ มาๆ มันคอยหลอกตาหลอกใจเราตลอด เพื่อให้เราวิ่งไปตามมัน และพอเราวิ่งตามมันไปแล้ว เราก็จะเป็นทุกข์ ซึ่งการที่เรายังเป็นทุกข์อยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะเรายังวิ่งตามมันไม่ยอมหยุด เราไม่ยอมอยู่นิ่งๆ เพื่อเฝ้าดูมัน ท่านว่าถ้าเราทำจิตให้อยู่นิ่ง เราก็จะไม่วิ่งตามความสุข และความทุกข์ เราจะไม่วุ่นวายกับมัน ฉะนั้นเราต้องหัดอยู่นิ่งๆ และมองความเคลื่อนไหวของมัน เราจะเห็นว่ามันก็อยู่ของมันอย่างนั้น เป็นธรรมดา เป็นปกติ ดังนั้นเราอย่าไปวิ่งตามมัน จงปล่อยใจให้ว่าง ทำจิตใจให้นิ่ง และหมั่นฝึกสมาธิให้จิตเข้มแข็งมีพลัง จิตของเราจะได้สว่าง จะได้เกิดความสุข ที่เป็นสุขอย่างแท้จริง คือ มีความสุข ที่ไม่ต้องวิ่งตามสิ่งใด เพราะจริงๆ แล้วความสุขนั้น มันมีอยู่ในตัวเรา ซึ่งเป็นความสุขที่เที่ยงแท้ และสามารถนำพาเรา ให้ออกจากกองทุกข์ได้ ท่านว่าเราจะต้องหมั่นฝึกจิตให้บริสุทธิ์ และหมั่นทำสมาธิบ่อยๆ เพราะหากเราไม่มีสมาธิแล้ว เราก็จะวิ่งไปตามความสุขบ้าง ตามความทุกข์บ้าง หรือหลงไปอยู่กับความสุขบ้าง ความทุกข์บ้าง ซึ่งจริงๆ แล้วสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ มันไม่มีอยู่จริง มันเพียงแค่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ฉะนั้นถ้าเราทำจิตให้นิ่ง เมื่อความสุขหรือความทุกข์ผ่านมา เราก็จะปล่อยให้มันผ่านไป เราจะไม่สนใจกับมัน จิตของเราก็จะนิ่งและเข้มแข็งขึ้น
ถ้าจิตเรามีพลังเข้มแข็งแล้ว ก็ให้หมั่นพิจารณาความไม่เที่ยง ซึ่งเราจะเห็นความไม่เที่ยง ของความสุขและความทุกข์ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเรา และเมื่อความสุขผ่านเข้ามา เราก็จะไม่หลง ไม่ยึดติด ไม่วุ่นว่าย ไม่คล้อยตามมัน และเมื่อความสุขผ่านไปแล้ว เราก็จะไม่เป็นทุกข์ และถ้าหากความทุกข์ผ่านเข้ามา เราก็จะไม่คล้อยตาม ไม่สนใจมัน และความทุกข์เหล่านั้น ก็จะอยู่กับเราไม่ได้ มันก็จะหายไป ท่านว่าถ้าเราทำได้อย่างนี้ เราก็จะไม่วิ่งตามความสุข และความทุกข์ เพราะมันจะทำให้เรา หาความสุขที่แท้จริงไม่ได้เลย ดังนั้นเราต้องมีสมาธิอยู่ตลอด เพื่อหนุนจิตของเราให้เข้มแข็ง เพราะถ้าจิตของเราไม่เข้มแข็งพอ เราก็จะต้านกับสิ่งหลอกลวงทั้งหลายไม่ได้ แต่ถ้าเราฝึกสมาธิจนเข้มแข็งแล้ว จิตของเราก็จะแข็งแกร่ง และเมื่อสิ่งต่างๆ ผ่านเข้ามาในชีวิต เราก็จะรู้ทันและเข้าใจมัน ฉะนั้นเราต้องคอยพิจารณา ให้เห็นความไม่เที่ยงนี้อยู่บ่อยๆ เราจะได้ถอดถอนความยึดติด ความลุ่มหลงกับความสุข และความทุกข์ให้หมดไป ท่านว่าการที่เราหมั่นพิจารณา จนเห็นสิ่งทั้งหลายเป็นธรรมดา เป็นปกติของมัน จะทำให้เราวางเฉยกับมันได้ และเมื่อมีความสุขเข้ามา เราก็จะคิดว่ามันไม่เที่ยงแท้ เราจะไม่ลุ่มหลงกับมัน เพราะเรารู้ว่า เดี๋ยวมันก็ผ่านไป จิตของเราก็จะอยู่เหนือมัน เราไม่ถูกความสุขครอบงำ หรือเมื่อความทุกข์เข้ามา เราก็จะระลึกรู้ คิดว่ามันไม่เที่ยงแท้ เพราะเดี๋ยวความทุกข์มันก็ผ่านไป ซึ่งจะทำให้จิตของเราอยู่เหนือ ความทุกข์ และความสุข
ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่า ความสุขที่แท้จริง ก็คือ การที่เราไม่วิ่งไม่ตามสิ่งกระทบภายนอก และเมื่อถึงจุดๆ หนึ่ง เราก็จะมีพลังที่อยู่เหนือ ความสุขและความทุกข์ ดังนั้นเราต้องฝึกตนเองให้สามารถ อยู่กับสิ่งที่ผ่านมาและผ่านไป โดยไม่มีความทุกข์อะไร เราจึงจะสามารถ จะดำรงชีวิตอยู่อย่างมีความสุข และจิตของเราก็จะไม่เร่าร้อน ไม่วิ่งวุ่นไปตามความสุข และความทุกข์เหล่านั้น เราจะอยู่อย่างมีความสุข และอยู่อย่างสงบ ท่านว่าสิ่งทั้งหลายที่มัน ผ่านมาและผ่านไปนั้น ถ้าเราฝึกตนเอง ให้มองเห็นเป็นธรรมดา ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ถ้าเราฝึกให้เห็นอย่างชัดเจน มันก็จะไม่หลอกให้เราเป็นทุกข์ และเมื่อมีสิ่งใดเกิดขึ้น ถ้าเราพิจารณามัน ว่าไม่มีอยู่จริง มันเป็นเพียงสิ่งสมมุติ สิ่งเหล่านั้นมันคือว่าง แล้วเราก็ปล่อยให้มันผ่านไป ไม่ว่าจะเป็นเสียงชื่นชม หรือสิ่งที่น่ายินดี เราก็ปล่อยมันไป เราไม่ตกไปอยู่ในบ่วงของมัน เราไม่สนใจมัน ไม่ว่าใครจะด่า จะว่าเราก็ตาม เราจะนิ่งเฉย เพราะเราเข้าใจว่า สิ่งทั้งหลายมันไม่มีอยู่จริง เราปล่อยให้มันผ่านไป เป็นไปตามธรรมดาของมัน ถ้าเราทำได้อย่างนี้ เราก็จะไม่เป็นทุกข์ เพราะสรรพสิ่งทั้งหลายมันว่างเปล่า มันไม่มีอยู่จริง ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งสมมุติ ท่านว่าถ้าเราพิจารณาให้เห็น ให้เข้าใจตามความเป็นจริงอย่างนี้ แม้แต่ตัวเราเองก็จะว่างเปล่า เพราะสิ่งที่ทำไปเมื่อวาน มันก็ผ่านไปแล้ว สิ่งที่จะทำในวันนี้ มันก็เป็นเรื่องของวันนี้ สิ่งที่จะทำในพรุ่งนี้ มันก็จะเป็นเรื่องของพรุ่งนี้ และวันนี้เดี๋ยวก็กลายเป็นพรุ่งนี้ และพอถึงพรุ่งนี้ วันนี้ก็จะกลายเป็นเมื่อวาน ซึ่งมันจะเป็นแบบนี้ตลอดไป จนหมดเวลาของเรา และเมื่อหมดเวลาของเราแล้ว เราก็จะเสื่อมสลายไปจากโลกใบนี้ จะไม่มีวันนี้ พรุ่งนี้สำหรับเราอีก เราก็จะไปตามกรรมของเรา ฉะนั้นจงอย่าไปสนใจ อย่าไปยึดติดกับโลกสมมุติให้มาก จงถอดถอนความยึดติด ทั้งความสุขและความทุกข์ ด้วยความเห็นว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มันไม่เที่ยงแท้และแน่นอนครับ
ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิดในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญกับทุกท่าน ที่มีส่วนร่วมในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ

ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น