ทำบุญอย่างไร ให้ได้บุญมากที่สุด
PURIFILM สร้างแรงบันดาลใจ ให้คติธรรม นำพลังสร้างชีวิต
สวัสดีครับคุณผู้ชมคุณผู้ฟังทุกท่าน ที่ติดตามรับชมภูริฟิล์ม คลิบนี้ผมจะมาพูดคุยในเรื่องของ การทำบุญอย่างไร เพื่อให้ได้บุญมากที่สุด ซึ่งในเรื่องนี้ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่า การทำบุญในที่นี้จะกล่าวถึง การให้ทานเท่านั้น ซึ่งการให้ทานในที่นี้ จะเน้นที่การสละวัตถุสิ่งของ หรือทรัพย์สมบัติให้แก่ผู้อื่นเป็นหลัก แต่ก็สามารถประยุกต์ใช้ได้ กับการให้ทานอย่างอื่นๆ อย่างเช่น ธรรมทาน (การให้ธรรมเป็นทาน) อภัยทาน (การให้อภัยแก่ผู้อื่น) โดยการพิจารณาเปรียบเทียบกัน ท่านว่า การให้ทานแต่ละครั้งนั้น จะให้ผลบุญ หรืออานิสงส์มาก หรือน้อยอย่างไรนั้น ขึ้นกับปัจจัยหลายๆ อย่างประกอบกัน ทั้งปัจจัยจากตัวผู้ให้ วัตถุสิ่งของที่ให้ และผู้รับทานนั้นด้วย ซึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงแสดงเอาไว้ในที่หลายๆ แห่ง ซึ่งสรุปได้ดังต่อไปนี้
การทำบุญให้ทานนั้น ท่านว่า เปรียบเสมือนการทำนาปลูกข้าว โดยที่ผู้รับเป็นเหมือนนาข้าว ของที่ให้เหมือนเมล็ดพันธุ์ข้าว กิเลสของผู้รับ และผู้ให้ เหมือนเป็นวัชชพืชในนาข้าวนั้น ความตั้งใจของผู้ให้ เหมือนความตั้งใจ ในการหว่านเมล็ดพันธุ์ข้าวให้ตกลงไปในนา ไม่ให้กระจัดกระจายออกนอกนา ศรัทธาของผู้ให้เปรียบเสมือนปุ๋ย ปิติที่เกิดขึ้นกับผู้ให้ เปรียบเหมือนน้ำ ผลบุญที่ผู้ให้ได้รับเปรียบเสมือน ผลผลิตจากการทำนานั้น ผู้รับจึงได้ชื่อว่าเป็นเนื้อนาบุญ ซึ่งการทำนาปลูกข้าวนั้น ถ้าใช้ข้าวพันธุ์ดี ปลูกในนาข้าวที่มีดินดี ในขณะหว่าน ก็ตั้งใจหว่าน ให้ข้าวตกลงในท้องนาอย่างพอดี ไม่กระจัดกระจายสูญหายไปนอกนา มีน้ำบริบูรณ์ มีปุ๋ยอุดมสมบูรณ์ ไม่มีวัชชพืชมาคอยแย่งอาหารต้นข้าว ผลผลิตที่ได้ย่อมมากมาย เต็มเม็ดเต็มหน่วยฉันใด การทำบุญด้วยวัตถุอันเลิศ ให้กับบุคคลอันเลิศ ปราศจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองใดๆ ทำไปด้วยความตั้งใจอันแน่วแน่มั่นคง ประกอบด้วยศรัทธาอันดี ถึงพร้อมด้วยปิติเบิกบานใจ ผลบุญที่ได้ย่อมไพบูลย์ฉันนั้น
ท่านว่า การที่ผู้ให้ทาน จะได้รับผลบุญมากนั้น ตัวผู้ให้เองต้องประกอบด้วยคุณสมบัติดังนี้ คือ
1. ให้ทานนั้นโดยเคารพ ทำความนอบน้อมให้ (มีความเคารพด้วยใจที่แท้จริง ไม่ใช่แค่เพียงร่างกาย)
2. ให้ทานนั้นด้วยมือตนเอง (ถ้ายิ่งต้องใช้ความพยายามมากเท่าไร จิตก็จะยิ่งมีกำลังมากขึ้นเท่านั้น การทำบุญด้วยความรู้สึก ที่หนักแน่นมากเท่าไร ก็จะส่งผลให้ได้บุญ ที่หนักแน่นมากเท่านั้น)
3. เชื่อในกรรม และผลของกรรม (ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความรู้สึกที่หนักแน่นเช่นกัน ไม่ใช่ว่าสักแต่ให้ๆ ไปเท่านั้น)
4. มีความเลื่อมใสศรัทธา ในผู้รับทานนั้น
5. เมื่อให้แล้วเกิดปิติโสมนัส จิตใจผ่องใส เบิกบาน
6. ให้ทานเหมาะสมกับกาลเวลา คือให้ในสิ่งที่ผู้รับต้องการในเวลานั้นๆ
7. ให้ทานโดยสละวัตถุทานนั้น อย่างแท้จริง ไม่มีใจยึดเหนี่ยว ห่วงใยวัตถุนั้นอีก ไม่ว่าผู้รับจะเอาสิ่งนั้นๆ ไปใช้ทำอะไร หรือเมื่อไหร่
8. เป็นผู้มีจิตอนุเคราะห์ให้ทาน คือให้โดยหวังประโยชน์แก่ผู้รับจริงๆ ไม่ใช่หวังประโยชน์แก่ตัวผู้ให้เอง
9. รู้สึกยินดีในการให้ทานครั้งนั้นทั้ง 3 กาล คือทั้งก่อนให้ ขณะให้ และหลังจากให้ทานนั้น แล้วก็รู้สึกยินดี คือนึกถึงเมื่อใด ก็ยินดีเมื่อนั้น ไม่ใช่ให้แล้วเสียใจในภายหลัง
10. ให้ทานโดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ ไม่หวังแม้แต่บุญที่จะได้รับ คือ ให้เพื่อให้จริงๆ แล้วผลบุญก็จะตามมาเอง
ส่วนลักษณะของวัตถุสิ่งของ ที่ใช้ให้ทานแล้วได้บุญมาก ท่านว่า วัตถุทานที่ใช้ทำบุญให้ทาน แล้วจะส่งผลให้ผู้ให้ทานนั้น ได้รับอานิสงส์ผลบุญมาก มีลักษณะดังนี้คือ
1. ให้ของที่ไม่ใช่ของเหลือเดน คือ ไม่ใช่เป็นของที่แม้ผู้ให้เอง ก็ไม่ต้องการแล้ว
2. ให้ของที่สะอาด จัดเตรียมอย่างประณีต
3. ให้ของที่ได้มาโดยชอบธรรม และผู้ให้มีสิทธิ ในการเป็นเจ้าของของนั้นจริงๆ
4. ให้โดยไม่มีส่วนเหลือ คือ ให้ของนั้นทั้งหมดที่มีอยู่ในขณะนั้น ไม่ใช่ให้อย่างขยักขย่อน
5. ถ้าของที่ให้นั้น มีความสำคัญ มีความหมาย มีคุณค่า สำหรับตัวผู้ให้เองมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้บุญมากขึ้นเท่านั้น เพราะผู้ให้ต้องเสียสละมาก อย่างเช่น คนยากจนให้ทาน 10 บาท อาจได้บุญมากกว่าเศรษฐี ให้ทาน 1,000 บาทก็ได้ เพราะเงิน 10 บาทนั้น มีค่ามากสำหรับคนยากจน ในขณะที่เงิน 1,000 บาท เป็นเพียงแค่เศษเงินของเศรษฐีเป็นต้น
6. การให้อวัยวะของตนเป็นทาน ได้บุญมากกว่า การให้ทรัพย์ภายนอกเป็นทาน
7. การให้ชีวิตของตนเป็นทาน ได้บุญมากกว่าการให้อวัยวะเป็นทาน
ส่วนคุณสมบัติของผู้รับ ที่จะทำให้ผู้ให้ได้บุญมากนั้น ท่านว่า ผู้รับทาน หรือเนื้อนาบุญที่ดี อันจะส่งผลให้ผู้ที่ทำบุญด้วย ได้บุญมากนั้น มีคุณสมบัติดังนี้
1. เป็นผู้ที่มีศีลมาก และถือศีลนั้น ได้อย่างบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่เป็นคนทุศีล หรือต่อหน้าเป็นอย่างหนึ่ง แต่พอลับหลัง กลับเป็นอีกอย่างหนึ่ง
2. เป็นผู้ที่มีจิตเป็นสมาธิ สงบ ผ่องใส ไม่ถูกนิวรณ์ทั้ง 5 ครอบงำ
3.เป็นผู้ที่ปราศจากกิเลส หรือมีกิเลสเบาบาง หรืออย่างน้อยก็เป็นผู้ที่ปฏิบัติ เพื่อให้หมดกิเลส ซึ่งจะทำให้ผู้ให้ ได้บุญลดหลั่นกันไปตามขั้น
4. การทำบุญกับสงฆ์ เช่น (สังฆทาน - การทำบุญโดยไม่เจาะจงผู้รับ ว่าต้องเป็นภิกษุรูปนั้นรูปนี้) จะทำให้ผู้ให้ได้บุญมากกว่าปุคคลิกทาน คือ (การให้โดยเจาะจงผู้รับ) ทั้งนี้ต้องเป็นสังฆทานด้วยใจที่แท้จริง ส่วนลำดับขั้นของผู้รับ ที่จะทำให้ผู้ให้ ได้บุญมากหรือน้อยนั้น เราสามาถดูรายละเอียดในเรื่องเวลามสูตร การเปรียบเทียบผลบุญชนิดต่างๆ ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านได้ทรงจำแนกแจกแจง ไว้อย่างชัดเจน ส่วนคุณสมบัติต่างๆ ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ทั้งของผู้ให้ สิ่งของที่ให้ และผู้รับของนั้น ถ้ายิ่งมีมาก และสมบูรณ์มากเท่าใด ผลบุญที่ได้รับ ก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น แต่ถ้าคุณสมบัติดังกล่าว ลดน้อยลงไปมากเท่าใด ผลบุญที่ได้ ก็จะน้อยลง ตามไปด้วยเช่นกันครับ
ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิดในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญกับทุกท่าน ที่มีส่วนร่วมในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ
สวัสดีครับคุณผู้ชมคุณผู้ฟังทุกท่าน ที่ติดตามรับชมภูริฟิล์ม คลิบนี้ผมจะมาพูดคุยในเรื่องของ การทำบุญอย่างไร เพื่อให้ได้บุญมากที่สุด ซึ่งในเรื่องนี้ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่า การทำบุญในที่นี้จะกล่าวถึง การให้ทานเท่านั้น ซึ่งการให้ทานในที่นี้ จะเน้นที่การสละวัตถุสิ่งของ หรือทรัพย์สมบัติให้แก่ผู้อื่นเป็นหลัก แต่ก็สามารถประยุกต์ใช้ได้ กับการให้ทานอย่างอื่นๆ อย่างเช่น ธรรมทาน (การให้ธรรมเป็นทาน) อภัยทาน (การให้อภัยแก่ผู้อื่น) โดยการพิจารณาเปรียบเทียบกัน ท่านว่า การให้ทานแต่ละครั้งนั้น จะให้ผลบุญ หรืออานิสงส์มาก หรือน้อยอย่างไรนั้น ขึ้นกับปัจจัยหลายๆ อย่างประกอบกัน ทั้งปัจจัยจากตัวผู้ให้ วัตถุสิ่งของที่ให้ และผู้รับทานนั้นด้วย ซึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงแสดงเอาไว้ในที่หลายๆ แห่ง ซึ่งสรุปได้ดังต่อไปนี้
การทำบุญให้ทานนั้น ท่านว่า เปรียบเสมือนการทำนาปลูกข้าว โดยที่ผู้รับเป็นเหมือนนาข้าว ของที่ให้เหมือนเมล็ดพันธุ์ข้าว กิเลสของผู้รับ และผู้ให้ เหมือนเป็นวัชชพืชในนาข้าวนั้น ความตั้งใจของผู้ให้ เหมือนความตั้งใจ ในการหว่านเมล็ดพันธุ์ข้าวให้ตกลงไปในนา ไม่ให้กระจัดกระจายออกนอกนา ศรัทธาของผู้ให้เปรียบเสมือนปุ๋ย ปิติที่เกิดขึ้นกับผู้ให้ เปรียบเหมือนน้ำ ผลบุญที่ผู้ให้ได้รับเปรียบเสมือน ผลผลิตจากการทำนานั้น ผู้รับจึงได้ชื่อว่าเป็นเนื้อนาบุญ ซึ่งการทำนาปลูกข้าวนั้น ถ้าใช้ข้าวพันธุ์ดี ปลูกในนาข้าวที่มีดินดี ในขณะหว่าน ก็ตั้งใจหว่าน ให้ข้าวตกลงในท้องนาอย่างพอดี ไม่กระจัดกระจายสูญหายไปนอกนา มีน้ำบริบูรณ์ มีปุ๋ยอุดมสมบูรณ์ ไม่มีวัชชพืชมาคอยแย่งอาหารต้นข้าว ผลผลิตที่ได้ย่อมมากมาย เต็มเม็ดเต็มหน่วยฉันใด การทำบุญด้วยวัตถุอันเลิศ ให้กับบุคคลอันเลิศ ปราศจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองใดๆ ทำไปด้วยความตั้งใจอันแน่วแน่มั่นคง ประกอบด้วยศรัทธาอันดี ถึงพร้อมด้วยปิติเบิกบานใจ ผลบุญที่ได้ย่อมไพบูลย์ฉันนั้น
ท่านว่า การที่ผู้ให้ทาน จะได้รับผลบุญมากนั้น ตัวผู้ให้เองต้องประกอบด้วยคุณสมบัติดังนี้ คือ
1. ให้ทานนั้นโดยเคารพ ทำความนอบน้อมให้ (มีความเคารพด้วยใจที่แท้จริง ไม่ใช่แค่เพียงร่างกาย)
2. ให้ทานนั้นด้วยมือตนเอง (ถ้ายิ่งต้องใช้ความพยายามมากเท่าไร จิตก็จะยิ่งมีกำลังมากขึ้นเท่านั้น การทำบุญด้วยความรู้สึก ที่หนักแน่นมากเท่าไร ก็จะส่งผลให้ได้บุญ ที่หนักแน่นมากเท่านั้น)
3. เชื่อในกรรม และผลของกรรม (ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความรู้สึกที่หนักแน่นเช่นกัน ไม่ใช่ว่าสักแต่ให้ๆ ไปเท่านั้น)
4. มีความเลื่อมใสศรัทธา ในผู้รับทานนั้น
5. เมื่อให้แล้วเกิดปิติโสมนัส จิตใจผ่องใส เบิกบาน
6. ให้ทานเหมาะสมกับกาลเวลา คือให้ในสิ่งที่ผู้รับต้องการในเวลานั้นๆ
7. ให้ทานโดยสละวัตถุทานนั้น อย่างแท้จริง ไม่มีใจยึดเหนี่ยว ห่วงใยวัตถุนั้นอีก ไม่ว่าผู้รับจะเอาสิ่งนั้นๆ ไปใช้ทำอะไร หรือเมื่อไหร่
8. เป็นผู้มีจิตอนุเคราะห์ให้ทาน คือให้โดยหวังประโยชน์แก่ผู้รับจริงๆ ไม่ใช่หวังประโยชน์แก่ตัวผู้ให้เอง
9. รู้สึกยินดีในการให้ทานครั้งนั้นทั้ง 3 กาล คือทั้งก่อนให้ ขณะให้ และหลังจากให้ทานนั้น แล้วก็รู้สึกยินดี คือนึกถึงเมื่อใด ก็ยินดีเมื่อนั้น ไม่ใช่ให้แล้วเสียใจในภายหลัง
10. ให้ทานโดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ ไม่หวังแม้แต่บุญที่จะได้รับ คือ ให้เพื่อให้จริงๆ แล้วผลบุญก็จะตามมาเอง
ส่วนลักษณะของวัตถุสิ่งของ ที่ใช้ให้ทานแล้วได้บุญมาก ท่านว่า วัตถุทานที่ใช้ทำบุญให้ทาน แล้วจะส่งผลให้ผู้ให้ทานนั้น ได้รับอานิสงส์ผลบุญมาก มีลักษณะดังนี้คือ
1. ให้ของที่ไม่ใช่ของเหลือเดน คือ ไม่ใช่เป็นของที่แม้ผู้ให้เอง ก็ไม่ต้องการแล้ว
2. ให้ของที่สะอาด จัดเตรียมอย่างประณีต
3. ให้ของที่ได้มาโดยชอบธรรม และผู้ให้มีสิทธิ ในการเป็นเจ้าของของนั้นจริงๆ
4. ให้โดยไม่มีส่วนเหลือ คือ ให้ของนั้นทั้งหมดที่มีอยู่ในขณะนั้น ไม่ใช่ให้อย่างขยักขย่อน
5. ถ้าของที่ให้นั้น มีความสำคัญ มีความหมาย มีคุณค่า สำหรับตัวผู้ให้เองมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้บุญมากขึ้นเท่านั้น เพราะผู้ให้ต้องเสียสละมาก อย่างเช่น คนยากจนให้ทาน 10 บาท อาจได้บุญมากกว่าเศรษฐี ให้ทาน 1,000 บาทก็ได้ เพราะเงิน 10 บาทนั้น มีค่ามากสำหรับคนยากจน ในขณะที่เงิน 1,000 บาท เป็นเพียงแค่เศษเงินของเศรษฐีเป็นต้น
6. การให้อวัยวะของตนเป็นทาน ได้บุญมากกว่า การให้ทรัพย์ภายนอกเป็นทาน
7. การให้ชีวิตของตนเป็นทาน ได้บุญมากกว่าการให้อวัยวะเป็นทาน
ส่วนคุณสมบัติของผู้รับ ที่จะทำให้ผู้ให้ได้บุญมากนั้น ท่านว่า ผู้รับทาน หรือเนื้อนาบุญที่ดี อันจะส่งผลให้ผู้ที่ทำบุญด้วย ได้บุญมากนั้น มีคุณสมบัติดังนี้
1. เป็นผู้ที่มีศีลมาก และถือศีลนั้น ได้อย่างบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่เป็นคนทุศีล หรือต่อหน้าเป็นอย่างหนึ่ง แต่พอลับหลัง กลับเป็นอีกอย่างหนึ่ง
2. เป็นผู้ที่มีจิตเป็นสมาธิ สงบ ผ่องใส ไม่ถูกนิวรณ์ทั้ง 5 ครอบงำ
3.เป็นผู้ที่ปราศจากกิเลส หรือมีกิเลสเบาบาง หรืออย่างน้อยก็เป็นผู้ที่ปฏิบัติ เพื่อให้หมดกิเลส ซึ่งจะทำให้ผู้ให้ ได้บุญลดหลั่นกันไปตามขั้น
4. การทำบุญกับสงฆ์ เช่น (สังฆทาน - การทำบุญโดยไม่เจาะจงผู้รับ ว่าต้องเป็นภิกษุรูปนั้นรูปนี้) จะทำให้ผู้ให้ได้บุญมากกว่าปุคคลิกทาน คือ (การให้โดยเจาะจงผู้รับ) ทั้งนี้ต้องเป็นสังฆทานด้วยใจที่แท้จริง ส่วนลำดับขั้นของผู้รับ ที่จะทำให้ผู้ให้ ได้บุญมากหรือน้อยนั้น เราสามาถดูรายละเอียดในเรื่องเวลามสูตร การเปรียบเทียบผลบุญชนิดต่างๆ ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านได้ทรงจำแนกแจกแจง ไว้อย่างชัดเจน ส่วนคุณสมบัติต่างๆ ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ทั้งของผู้ให้ สิ่งของที่ให้ และผู้รับของนั้น ถ้ายิ่งมีมาก และสมบูรณ์มากเท่าใด ผลบุญที่ได้รับ ก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น แต่ถ้าคุณสมบัติดังกล่าว ลดน้อยลงไปมากเท่าใด ผลบุญที่ได้ ก็จะน้อยลง ตามไปด้วยเช่นกันครับ
ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิดในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญกับทุกท่าน ที่มีส่วนร่วมในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น