ชนะตนดีกว่าชนะคนอื่น หมั่นพิจารณาตนเอง

PURIFILM สร้างแรงบันดาลใจ ให้คติธรรม นำพลังสร้างชีวิต



สวัสดีครับคุณผู้ชมคุณผู้ฟังทุกท่าน ที่ติดตามรับชมภูริฟิล์ม คลิบนี้นะครับผมจะมาพูดคุย ในเรื่องของการชนะตนเอง ดีกว่าชนะคนอื่น และหมั่นพิจารณาตนเอง ซึ่งในเรื่องนี้ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่า เราทุกคนนั้น ไม่มีใครปรารถนา ในความพ่ายแพ้ เราต่างก็ต้องการ ความชนะ เช่นเดียวกับนักกีฬา ก็ปรารถนาที่จะชนะ ไม่ปรารถนาในความพ่ายแพ้ เพราะผู้ชนะจะเป็นคนเก่ง มีเกียรติ มีชื่อเสียง และได้รับการยกย่องเป็นวีรบุรุษ ได้ชื่อเสียง เกียรติคุณ รวมทั้งได้ทรัพย์สินเงินทอง เป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูล แก่ประเทศชาติ ท่านว่า นี่คือวิสัยของชาวโลก ไม่มีใครคัดค้าน กลับมีแต่คนสนับสนุน ยกย่องเชิดชู แต่พระพุทธเจ้าท่านกลับตรัสว่า การชนะคนอื่น หรือสัตว์อื่นนั้นไม่ประเสริฐ แต่การเอาชนะตนเองกลับประเสริฐยิ่งนัก



ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่า หากเราได้พิจารณาด้วยปัญญาแล้ว พระพุทธองค์ท่านไม่ได้สอน ขัดกับความนิยมของชาวโลก แต่ท่านสอนให้เราปฏิบัติตน ให้ดียิ่งๆ ขึ้นไปอีก เพราะความชนะของชาวโลกนั้น มันไม่แน่นอนและมั่นคง วันนี้เราอาจจะชนะ แต่วันหน้าเราอาจจะแพ้คนอื่นก็เป็นได้ พระพุทธองค์ท่านตรัสว่า หากผู้ใดชนะตนได้ เพราะชนะกิเลส ความชนะของผู้นั้น ก็จะประเสริฐ ดังนั้นหากเราเอาชนะตนเองไม่ได้ เราก็ชนะคนอื่นไม่ได้เช่นกัน และถ้าเราเอาชนะกิเลสไม่ได้ เราก็จะเป็นผู้พ่ายแพ้อยู่ตลอดไป แม้จะต้องการความชนะ เราก็จะไม่มีทางชนะ อย่างเช่น นักกีฬาไม่มีความขยัน ขาดความพยายาม ก็ยากที่จะเอาชนะความเกียจคร้าน การฝึกฝนก็จะแย่ลง สุดท้ายก็จะเป็นผู้แพ้ อยู่อย่างเป็นทุกข์ หรือแม้แต่ผู้ประกอบการทำงานต่างๆ หากปล่อยให้กิเลสครอบงำจิตใจแล้ว ก็มีแต่ทางแพ้ไม่มีทางชนะ

พระพุทธองค์ท่านทรงสอน ถึงวิธีที่เอาชนะกิเลสทั้ง 3 ชนิด นั่นก็คือ
1. หากเราต้องการเอาชนะความโลภ เราต้องคิดเผื่อแผ่ประโยชน์ของตน ให้แก่ผู้อื่น และยินดีในสมบัติของตน อย่าไปยินดีกับสมบัติของผู้อื่น
2. หากเราต้องการเอาชนะความโกรธ เราจะต้องเจริญเมตตา เพราะจะได้ไม่โกรธ ไม่พยาบาทอาฆาตจองเวรกับใคร
3. หากเราต้องการเอาชนะความหลง เราจะต้องเจริญจิตตภาวนา
ท่านว่าการชนะกิเลสทั้ง 3 ชนิดนี้ จะไม่ก่อเวรให้ตนเอง และไม่ก่อเวรให้กับผู้อื่นด้วย ซึ่งผู้ปฏิบัติตนเช่นนี้ จะได้ชื่อว่าชนะตนเอง และผู้ที่ชนะตน ก็คือ ชนะจิตใจของตนเอง จึงเป็นผู้ประเสริฐ ยิ่งกว่าการชนะผู้อื่น สัตว์อื่น เพราะไม่มีทางกลับแพ้อีกต่อไป

การพิจารณาตนเองนั้น ก็คือ การตรวจตราตนเอง สอบสวนตนเอง ใช้สติปัญญาให้รู้ว่า ขณะนี้ตนเองเป็นอย่างไร มีสถานภาพเป็นอย่างไร ทำอะไรอยู่ เหมาะสมแล้วหรือไม่ และติชมตนเองได้ว่า ยังขาดสิ่งใดที่ต้องเติมเต็ม เมื่อเห็นว่าสิ่งที่ทำ คำที่พูด เรื่องที่คิดไม่ถูกต้อง ก็ใช้สติเป็นเครื่องยับยั้งใจเอาไว้ ไม่ปล่อยใจไปตามกระแสของอารมณ์ฝ่ายต่ำ คอยควบคุมพฤติกรรม ที่แสดงออกทางกาย และทางวาจา เพราะพฤติกรรมนั้น ย่อมมีผลกระทบถึงผู้อื่นด้วย จะมากจะน้อย ก็แล้วแต่พฤติกรรมนั้น จะไปกระทบต่อกฎเกณฑ์ของสังคมอย่างไร ท่านว่า การดำเนินชีวิตของคนเรา แม้จะเป็นส่วนที่เป็นกิจวัตรประจำวัน อย่างเช่น การกิน การนอน ก็เกี่ยวข้องกับผู้อื่น จะต้องอาศัยผู้อื่นช่วย อย่างเช่นขณะที่ยังเป็นเด็ก เราก็ต้องอาศัยพ่อแม่แนะนำ ฝึกฝนให้มีความรู้ ให้มีความสามารถ ในวิชาการต่างๆ และเมื่อประกอบอาชีพ ก็ต้องฝึกงาน ทดลองงานเป็นต้น

ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่า ทุกขั้นตอนของชีวิตเรานั้น จะต้องมีผู้อื่นเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่เสมอ เพราะเราเป็นส่วนหนึ่งของสังคม เริ่มตั้งแต่สังคมเล็กๆ คือ ครอบครัว เราจะต้องเกี่ยวข้องกับพ่อแม่ ญาติพี่น้อง และเมื่อกว้างออกไป ก็เกี่ยวข้องกับเพื่อนบ้าน เพื่อนร่วมโรงเรียน เพื่อนร่วมงาน ร่วมอาชีพ แต่การที่เราจะอยู่ร่วมกับคนอื่น อย่างมีความสุขได้นั้น เราจะต้องมีการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้สอดคล้อง เพื่อเป็นการละลายพฤติกรรมเข้าหากัน ยิ่งมีความสนิทสนมมากเพียงใด ก็จะมีลักษณะนิสัย ใกล้เคียงกันมาก ดังนั้น การใช้สติปัญญา พิจารณาใคร่ครวญตน ให้ทราบชัดว่า สิ่งที่กำลังทำ คำที่กำลังพูด ผิดหรือถูก ตนเองติเตียนตนเองได้หรือไม่ หรือผู้รู้ติเตียนได้หรือไม่ ถ้ารู้ชัดว่าเราผิดพลาด ยังบกพร่องอยู่ ก็ต้องรีบปรับปรุงแก้ไข ยอมลดมานะทิฐิ ไม่ถลำลึกต่อไป เมื่อเราพิจารณาใคร่ครวญ ด้วยสติปัญญาของตนเอง ตักเตือนตนเอง ไถ่ถอนตนเอง จากกิเลสตัณหา จากความชั่วต่างๆ ได้เอง และปรับปรุงตนเองได้ ก็นับว่าประเสริฐสุดแล้ว เพราะมีคนจำนวนไม่น้อยมักจะเข้าข้างตนเอง มองไม่เห็นความผิดพลาดของตน เห็นแต่ความผิดพลาดของคนอื่น ดังภาษิตที่ว่า โทษของคนอื่นเห็นง่าย แต่โทษของตนเองนั้นเห็นยาก ท่านว่า บุคคลผู้หวังความเจริญ จงทำใจให้เป็นกลาง น้อมรับคำแนะนำของผู้รู้ ไม่เข้าข้างตนเอง พิจารณาใคร่ครวญ ให้เห็นข้อดี ข้อเสียของตน แล้วปรับปรุงแก้ไข ไม่ปล่อยตัวปล่อยใจให้ถลำลึก ก็จะถึงความเจริญได้ดังประสงค์ ดังคำสุภาษิตที่ว่า "ตนเตือนตน ของตนให้พ้นผิด ตนเตือนจิตตนได้ ใครจะเหมือน ตนเตือนตนไม่ได้ ใครจะเตือน ตนแชเชือนใครจะเตือน ให้ป่วยการ" ฉะนั้น เมื่อตนเตือนตนได้แล้ว ตนก็จะเป็นที่พึ่งแห่งตน นอกจากตนเป็นที่พึ่งแห่งตนแล้ว ก็ยังจะเป็นที่พึ่งของผู้อื่นได้อีกด้วย ครับ

ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิดในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญกับทุกท่าน ที่มีส่วนร่วมในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ขันธ์ 5 คืออะไร ทำไมคนเป็นโรคซึมเศร้าต้องเรียนรู้ขันธ์ 5

สิริมงคล 8 ประการ เสริมบุญบารมี ให้ชีวิตรุ่งเรืองตลอดไป

มงคลชีวิต 4 ประการ หนทางสู่ความสำเร็จ

วิธีอ่านใจคน ศาสตร์เรียนรู้จุดอ่อน ด้วยจริต 6 ประการ

ฆราวาสธรรม 4 ประการ ธรรมะที่นำพาชีวิตให้ร่ำรวย