วิธีแก้ไขปัญหาในชีวิต ท้อได้แต่อย่าถอย
PURIFILM สร้างแรงบันดาลใจ ให้คติธรรม นำพลังสร้างชีวิต
สวัสดีครับคุณผู้ชมคุณผู้ฟังทุกท่าน ที่ติดตามรับชมภูริฟิล์ม คลิบนี้นะครับผมจะมาพูดคุยในเรื่องของ วิธีเอาแก้ไขปัญหาในชีวิต ท้อได้แต่อย่าถอย ซึ่งในเรื่องนี้ครูบาอาจารย์ ท่านให้ข้อคิดเตือนสติว่า ความทุกข์ที่เรามีอยู่นี้ ก็คือ ความยึดติดในกาย และจิต ว่าเป็นเรา เป็นของเรานั่นเอง และความทุกข์ที่เกิดขึ้น ก็เมื่อสภาพที่เป็นอยู่ มีอยู่ ไม่ตรงกับความอยาก หรือความปรารถนาของตน หรือที่เรียกว่าตัณหานั่นเอง อย่างเช่น เราอยากจะมีเงินมาก แต่ก็หาไม่ได้มากเท่าที่ควร หรืออยากให้จิตสงบ แต่จิตก็ไม่สงบ หรือแม้กระทั้ง เราไม่อยากจะมีความคิดปรุงแต่ง แต่มันก็มีเป็นต้น ดังนั้นท่านว่าเหตุแห่งทุกข์ ก็คือ ความยาก หรือตัณหานั่นเอง
ครูบาอาจารย์ท่นกล่าวว่า ความดับทุกข์ของคนเรานั้น มีอยู่ 2 ทางเลือก นั่นก็คือ
1. ทำสภาพที่เป็นอยู่ ที่มีอยู่ ให้ตรงกับความอยาก
2. ละความอยาก หรือตัณหาเหล่านั้น
ซึ่งถ้าจะให้ตอบว่า ทางไหนเป็นทางที่ถูกต้อง ก็คงจะตอบกันว่า ทางเลือกที่ 2 เพราะการที่เรา จะทำสภาพที่เป็นอยู่ มีอยู่ ให้เป็นไปตามความอยากนั้น มันไม่ใช่เรื่องง่าย ดังเช่น เราอยากให้จิตสงบตลอดทั้งวัน แต่เพราะทุกสรรพสิ่งล้วนไม่เที่ยง จิตจึงมีความสงบบ้าง ไม่สงบบ้าง และถ้าเราไม่โกหกตัวเอง เราก็จะรู้ดีว่า ความอยากของเรานั้น ก็ไม่มีที่สิ้นสุดเช่นกัน เราได้คืบก็จะเอาศอก แต่อย่างไรก็ตามท่านว่า ถึงแม้เราจะทราบกันดี ว่าการละความอยากเป็นทางที่ถูกต้อง แต่เราก็ยังพยายามดิ้นรน เพื่อที่จะทำสภาพที่เป็นอยู่ มีอยู่ ให้เป็นไป ตามความต้องการของตน ด้วยเหตุนี้นี่เอง หลายๆ คน จึงมีต้องทุกข์อยู่ตลอดเวลา
ส่วนความสุขที่เราสามารถสร้างได้เองนั้น ครูบาอาจารย์ท่านว่า คนเรากว่าจะเกิดมาเป็นมนุษย์ได้นั้น ก็ยากแสนยาก ดังคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ทรงสอนว่า การเกิดเป็นมนุษย์นั้นยากยิ่ง เทียบว่ายากกว่าเต่า ในมหาสมุทร ที่จะโผล่ขึ้นมาให้ตรง กับห่วงอันเดียว ที่ลอยเคว้งคว้าง อยู่ในมหาสมุทรได้ ซึ่งชาตินี้เราได้เกิดมา เป็นมนุษย์อีกครั้ง ก็ถือว่า เป็นคนที่มีบุญมากแล้ว ฉะนั้น เราจงภูมิใจเถิด และเมื่อมีชีวิตอยู่ในโลก ของความสับสนวุ่นวายแล้ว เราก็ต้องมีความสุขให้ได้ แม้ว่าความสุขนั้น จะหาได้ยากเพียงใดก็ตาม แต่ถึงอย่างไร เราก็สามารถจะสร้างความสุข ด้วยวิธีการง่ายๆ อย่างเช่น พยายามทำในสิ่งที่ต้องการให้สำเร็จ โดยเริ่มจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่น การออกกำลังกาย หรือคิดช่วยเหลือคนอื่นเมื่อมีโอกาส หรือทำบุญใส่บาตร สวดมนต์ไหว้พระ ทำสามาธิเป็นต้น ท่านว่า เพียงเท่านี้ ความสุข ก็เกิดขึ้นกับเราแล้ว เราอย่ามัว แต่ไปหวังพึ่งคนอื่น หรือรอรับความสุขจากคนอื่น จงคิดอยู่เสมอว่า ตัวเราเองจะต้องสร้างความสุข ได้ด้วยร่างกาย และจิต ที่แข็งแกร่งด้วยตัวเราเอง แล้วทุกๆ นาที ทุกๆ ชั่วโมงของเรา จะมีแต่ความสุขอยู่ในใจเสมอ เพราะความสุขไม่มีขาย เราอยากได้ต้องสร้างเอง
ส่วนความสุขที่แท้จริงนั้นท่านว่า ความสุขไม่ได้ขึ้น อยู่กับว่าเรา มีสิ่งนั้น สิ่งนี้มากกว่าคนอื่น แต่ความสุข อยู่ที่คำว่าพอต่างหาก หรือจะกล่าวสั้นๆ ก็คือ ความสุขอยู่ที่ใจของเรานี่เอง ถ้าเราทำใจของเราเองให้มีความสุข ไม่อิจฉาริษยาคนอื่น แต่พลอยยินดี เมื่อผู้อื่นได้ดี แค่นี้ท่านว่า ความสุขก็เกิดขึ้นในใจเราแล้ว เพราะความสุขอยู่ที่ใจของเรา หากเราพอใจ ในสิ่งที่ตนมี ยินดีในสิ่งที่ตนเป็น และเห็นคุณค่า ในสิ่งที่ตนเองได้เลือก แค่นี้ เราก็จะเจอความสุขที่แท้จริงของชีวิต เพราะความทุกข์ มันไม่เคยยึดติดเรา มีแต่เราต่างหาก ที่ยึดติดความทุกข์ และความสุข ก็ไม่เคยไปจากใจเรา มีแต่เราต่างหาก ที่ไม่เคย ถนอมมันไว้ในใจของเราเองครับ
ฉะนั้นแล้ว เราท้อได้แต่อย่าถอย เพราะไม่ว่าใคร ก็เคยได้สัมผัส รสชาติแห่งความล้มเหลว ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ทุกคนก็เคยล้ม เคยแพ้ แต่มีเพียงไม่กี่คน ที่ล้มแล้ว ลุกขึ้นมาสู้ต่อ ซึ่งหลายคน เมื่อตนเองล้มเหลว ก็จะเกิดอาการรู้สึกท้อ และก็บ่นขึ้นมาทันทีว่า ทำไม มันไม่สำเร็จสักที ทำไม โชคไม่เข้าข้าง ซึ่งเราลืมไปว่า เราได้ทำเต็มที่หรือยัง ถ้าเรายังทำไม่เต็มที่ ก็ให้ลองลุกขึ้นมา สู้ใหม่อีกรอบ และรอบนี้ทำมันให้เต็มที่ ทำมันให้สุดความสามารถ ความสำเร็จ ก็จะต้องอยู่ข้างเราอย่างแน่นอน เราท้อได้ แต่อย่าถอย ล้มแล้วลุก เดินหน้าต่อ สู่ชัยชนะที่เราหวังไว้ ไม่นานเกินรอ ชัยชนะ จะต้องเป็นของเราสักวัน เพราะไม่มีใครหรอกที่ล้มเหลว มีแต่คนที่ล้มเลิกต่างหาก
ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่า เวลาเราเจอปัญหาชีวิต หรือแก้ไขปัญหาไม่ได้ เรามักจะขาดสติ และสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ คำถาม และคำตอบก็คือ ความว่างเปล่า ซึ่งผลที่ได้รับจากความว่างเปล่านั้น ก็คือ ความฟุ้งซ่าน และบ่อยครั้ง ที่หลายๆ คนฟุ้งซ่าน ไปกับการคิดอะไรไม่ออก เมื่อต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของงาน เรื่องการเงิน หรือเรื่องความรัก แม้ว่าบางคนจะพยายาม เป็นนักแก้ปัญหาที่ดี แต่ยิ่งคิดเท่าไร ก็คิดไม่ออก ท่านว่า เหตุผลที่ทำให้เรา แก้ปัญหาไม่ได้ ก็คือ การใช้อารมณ์ และความรู้สึก ในการแก้ไขปัญหาต่างๆ เพราะเวลาคนเรา ใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง เราก็มักจะทำอะไร โดยไม่มีเหตุผล เหมือนกับคนบ้า หรือคนปัญญาอ่อน หรือพูดง่ายๆ ก็คือ งี่เง่า นั่นเอง จึงทำให้คำตอบทุกๆ คำถาม คือความว่างเปล่า ไม่มีทางออกใดๆ ให้กับปัญหา ดังนั้นท่านว่า ถ้าเราต้องเจอกำแพงสูง เราจะทำทุกวิธีทาง เพื่อจะทุบกำแพงนั้น หรือจะพยายามหาวิธีปีนกำแพง เพื่อที่จะข้ามมันไปให้ได้ เราลองคิดดูว่า วิธีไหนจะได้ผลกว่ากัน เพราะการแก้ปัญหาที่ดีนั้น ควรจะมีสติเป็นตัวช่วยเสมอ เมื่อเจอปัญหา ก็อย่าเพิ่งมุทะลุ อย่าโวยวาย อย่าทำตัวเองให้เครียด กับปัญหาต่างๆ เหล่านั้น เพราะหากเราทุบกำแพง ก็เหมือนกับเรา ทำร้ายตัวเองทางอ้อม เหนื่อยก็เหนื่อย แถมเจ็บตัวอีกต่างหาก ฉะนั้น เราลองถอยหลัง ออกมาทีละก้าว เราจะได้มีเวลาสำรวจดูว่า กำแพงนั้นสูงแค่ไหน กว้างแค่ไหน และลึกแค่ไหน มีหนทาง ที่เราจะปีนป่าย ข้ามมันไปได้อย่างไร
ท่านว่า ทุกปัญหาย่อมมีทางออกเสมอ และบางทีปัญหา ก็ต้องอาศัยเวลา มาเป็นตัวขับเคลื่อน ให้เกิดความคิด ที่จะหาหนทางแก้ไข เพราะเมื่อเราคิด อย่างถี่ถ้วนแล้ว เราจะรู้ว่าควรทำอะไร ไม่ควรทำอะไร หรืออะไรทำก่อน ทำอะไรหลัง และเราควรจะใช้เวลา แก้ไขปัญหานั้น มากน้อยเพียงใด ถ้าเร็วไปก็อาจไม่เกิดประโยชน์ และช้าไป ก็อาจจะทำให้ ปัญหาเหล่านั้นบานปลาย และแก้ไขไม่ได้ แต่ถ้าเรามีสติเมื่อไร เราก็จะพบทางออกเมื่อนั้น เพราะกุญแจสำคัญ ที่จะช่วยทำให้เรา สามารถก้าวพ้นกับปัญหาต่างๆ จนออกไปพบกับแสงสว่างได้ นั่นก็คือ สติ ครับ
ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิดในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญกับทุกท่าน ที่มีส่วนร่วมในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ
สวัสดีครับคุณผู้ชมคุณผู้ฟังทุกท่าน ที่ติดตามรับชมภูริฟิล์ม คลิบนี้นะครับผมจะมาพูดคุยในเรื่องของ วิธีเอาแก้ไขปัญหาในชีวิต ท้อได้แต่อย่าถอย ซึ่งในเรื่องนี้ครูบาอาจารย์ ท่านให้ข้อคิดเตือนสติว่า ความทุกข์ที่เรามีอยู่นี้ ก็คือ ความยึดติดในกาย และจิต ว่าเป็นเรา เป็นของเรานั่นเอง และความทุกข์ที่เกิดขึ้น ก็เมื่อสภาพที่เป็นอยู่ มีอยู่ ไม่ตรงกับความอยาก หรือความปรารถนาของตน หรือที่เรียกว่าตัณหานั่นเอง อย่างเช่น เราอยากจะมีเงินมาก แต่ก็หาไม่ได้มากเท่าที่ควร หรืออยากให้จิตสงบ แต่จิตก็ไม่สงบ หรือแม้กระทั้ง เราไม่อยากจะมีความคิดปรุงแต่ง แต่มันก็มีเป็นต้น ดังนั้นท่านว่าเหตุแห่งทุกข์ ก็คือ ความยาก หรือตัณหานั่นเอง
ครูบาอาจารย์ท่นกล่าวว่า ความดับทุกข์ของคนเรานั้น มีอยู่ 2 ทางเลือก นั่นก็คือ
1. ทำสภาพที่เป็นอยู่ ที่มีอยู่ ให้ตรงกับความอยาก
2. ละความอยาก หรือตัณหาเหล่านั้น
ซึ่งถ้าจะให้ตอบว่า ทางไหนเป็นทางที่ถูกต้อง ก็คงจะตอบกันว่า ทางเลือกที่ 2 เพราะการที่เรา จะทำสภาพที่เป็นอยู่ มีอยู่ ให้เป็นไปตามความอยากนั้น มันไม่ใช่เรื่องง่าย ดังเช่น เราอยากให้จิตสงบตลอดทั้งวัน แต่เพราะทุกสรรพสิ่งล้วนไม่เที่ยง จิตจึงมีความสงบบ้าง ไม่สงบบ้าง และถ้าเราไม่โกหกตัวเอง เราก็จะรู้ดีว่า ความอยากของเรานั้น ก็ไม่มีที่สิ้นสุดเช่นกัน เราได้คืบก็จะเอาศอก แต่อย่างไรก็ตามท่านว่า ถึงแม้เราจะทราบกันดี ว่าการละความอยากเป็นทางที่ถูกต้อง แต่เราก็ยังพยายามดิ้นรน เพื่อที่จะทำสภาพที่เป็นอยู่ มีอยู่ ให้เป็นไป ตามความต้องการของตน ด้วยเหตุนี้นี่เอง หลายๆ คน จึงมีต้องทุกข์อยู่ตลอดเวลา
ส่วนความสุขที่เราสามารถสร้างได้เองนั้น ครูบาอาจารย์ท่านว่า คนเรากว่าจะเกิดมาเป็นมนุษย์ได้นั้น ก็ยากแสนยาก ดังคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ทรงสอนว่า การเกิดเป็นมนุษย์นั้นยากยิ่ง เทียบว่ายากกว่าเต่า ในมหาสมุทร ที่จะโผล่ขึ้นมาให้ตรง กับห่วงอันเดียว ที่ลอยเคว้งคว้าง อยู่ในมหาสมุทรได้ ซึ่งชาตินี้เราได้เกิดมา เป็นมนุษย์อีกครั้ง ก็ถือว่า เป็นคนที่มีบุญมากแล้ว ฉะนั้น เราจงภูมิใจเถิด และเมื่อมีชีวิตอยู่ในโลก ของความสับสนวุ่นวายแล้ว เราก็ต้องมีความสุขให้ได้ แม้ว่าความสุขนั้น จะหาได้ยากเพียงใดก็ตาม แต่ถึงอย่างไร เราก็สามารถจะสร้างความสุข ด้วยวิธีการง่ายๆ อย่างเช่น พยายามทำในสิ่งที่ต้องการให้สำเร็จ โดยเริ่มจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างเช่น การออกกำลังกาย หรือคิดช่วยเหลือคนอื่นเมื่อมีโอกาส หรือทำบุญใส่บาตร สวดมนต์ไหว้พระ ทำสามาธิเป็นต้น ท่านว่า เพียงเท่านี้ ความสุข ก็เกิดขึ้นกับเราแล้ว เราอย่ามัว แต่ไปหวังพึ่งคนอื่น หรือรอรับความสุขจากคนอื่น จงคิดอยู่เสมอว่า ตัวเราเองจะต้องสร้างความสุข ได้ด้วยร่างกาย และจิต ที่แข็งแกร่งด้วยตัวเราเอง แล้วทุกๆ นาที ทุกๆ ชั่วโมงของเรา จะมีแต่ความสุขอยู่ในใจเสมอ เพราะความสุขไม่มีขาย เราอยากได้ต้องสร้างเอง
ส่วนความสุขที่แท้จริงนั้นท่านว่า ความสุขไม่ได้ขึ้น อยู่กับว่าเรา มีสิ่งนั้น สิ่งนี้มากกว่าคนอื่น แต่ความสุข อยู่ที่คำว่าพอต่างหาก หรือจะกล่าวสั้นๆ ก็คือ ความสุขอยู่ที่ใจของเรานี่เอง ถ้าเราทำใจของเราเองให้มีความสุข ไม่อิจฉาริษยาคนอื่น แต่พลอยยินดี เมื่อผู้อื่นได้ดี แค่นี้ท่านว่า ความสุขก็เกิดขึ้นในใจเราแล้ว เพราะความสุขอยู่ที่ใจของเรา หากเราพอใจ ในสิ่งที่ตนมี ยินดีในสิ่งที่ตนเป็น และเห็นคุณค่า ในสิ่งที่ตนเองได้เลือก แค่นี้ เราก็จะเจอความสุขที่แท้จริงของชีวิต เพราะความทุกข์ มันไม่เคยยึดติดเรา มีแต่เราต่างหาก ที่ยึดติดความทุกข์ และความสุข ก็ไม่เคยไปจากใจเรา มีแต่เราต่างหาก ที่ไม่เคย ถนอมมันไว้ในใจของเราเองครับ
ฉะนั้นแล้ว เราท้อได้แต่อย่าถอย เพราะไม่ว่าใคร ก็เคยได้สัมผัส รสชาติแห่งความล้มเหลว ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ทุกคนก็เคยล้ม เคยแพ้ แต่มีเพียงไม่กี่คน ที่ล้มแล้ว ลุกขึ้นมาสู้ต่อ ซึ่งหลายคน เมื่อตนเองล้มเหลว ก็จะเกิดอาการรู้สึกท้อ และก็บ่นขึ้นมาทันทีว่า ทำไม มันไม่สำเร็จสักที ทำไม โชคไม่เข้าข้าง ซึ่งเราลืมไปว่า เราได้ทำเต็มที่หรือยัง ถ้าเรายังทำไม่เต็มที่ ก็ให้ลองลุกขึ้นมา สู้ใหม่อีกรอบ และรอบนี้ทำมันให้เต็มที่ ทำมันให้สุดความสามารถ ความสำเร็จ ก็จะต้องอยู่ข้างเราอย่างแน่นอน เราท้อได้ แต่อย่าถอย ล้มแล้วลุก เดินหน้าต่อ สู่ชัยชนะที่เราหวังไว้ ไม่นานเกินรอ ชัยชนะ จะต้องเป็นของเราสักวัน เพราะไม่มีใครหรอกที่ล้มเหลว มีแต่คนที่ล้มเลิกต่างหาก
ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่า เวลาเราเจอปัญหาชีวิต หรือแก้ไขปัญหาไม่ได้ เรามักจะขาดสติ และสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ คำถาม และคำตอบก็คือ ความว่างเปล่า ซึ่งผลที่ได้รับจากความว่างเปล่านั้น ก็คือ ความฟุ้งซ่าน และบ่อยครั้ง ที่หลายๆ คนฟุ้งซ่าน ไปกับการคิดอะไรไม่ออก เมื่อต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของงาน เรื่องการเงิน หรือเรื่องความรัก แม้ว่าบางคนจะพยายาม เป็นนักแก้ปัญหาที่ดี แต่ยิ่งคิดเท่าไร ก็คิดไม่ออก ท่านว่า เหตุผลที่ทำให้เรา แก้ปัญหาไม่ได้ ก็คือ การใช้อารมณ์ และความรู้สึก ในการแก้ไขปัญหาต่างๆ เพราะเวลาคนเรา ใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง เราก็มักจะทำอะไร โดยไม่มีเหตุผล เหมือนกับคนบ้า หรือคนปัญญาอ่อน หรือพูดง่ายๆ ก็คือ งี่เง่า นั่นเอง จึงทำให้คำตอบทุกๆ คำถาม คือความว่างเปล่า ไม่มีทางออกใดๆ ให้กับปัญหา ดังนั้นท่านว่า ถ้าเราต้องเจอกำแพงสูง เราจะทำทุกวิธีทาง เพื่อจะทุบกำแพงนั้น หรือจะพยายามหาวิธีปีนกำแพง เพื่อที่จะข้ามมันไปให้ได้ เราลองคิดดูว่า วิธีไหนจะได้ผลกว่ากัน เพราะการแก้ปัญหาที่ดีนั้น ควรจะมีสติเป็นตัวช่วยเสมอ เมื่อเจอปัญหา ก็อย่าเพิ่งมุทะลุ อย่าโวยวาย อย่าทำตัวเองให้เครียด กับปัญหาต่างๆ เหล่านั้น เพราะหากเราทุบกำแพง ก็เหมือนกับเรา ทำร้ายตัวเองทางอ้อม เหนื่อยก็เหนื่อย แถมเจ็บตัวอีกต่างหาก ฉะนั้น เราลองถอยหลัง ออกมาทีละก้าว เราจะได้มีเวลาสำรวจดูว่า กำแพงนั้นสูงแค่ไหน กว้างแค่ไหน และลึกแค่ไหน มีหนทาง ที่เราจะปีนป่าย ข้ามมันไปได้อย่างไร
ท่านว่า ทุกปัญหาย่อมมีทางออกเสมอ และบางทีปัญหา ก็ต้องอาศัยเวลา มาเป็นตัวขับเคลื่อน ให้เกิดความคิด ที่จะหาหนทางแก้ไข เพราะเมื่อเราคิด อย่างถี่ถ้วนแล้ว เราจะรู้ว่าควรทำอะไร ไม่ควรทำอะไร หรืออะไรทำก่อน ทำอะไรหลัง และเราควรจะใช้เวลา แก้ไขปัญหานั้น มากน้อยเพียงใด ถ้าเร็วไปก็อาจไม่เกิดประโยชน์ และช้าไป ก็อาจจะทำให้ ปัญหาเหล่านั้นบานปลาย และแก้ไขไม่ได้ แต่ถ้าเรามีสติเมื่อไร เราก็จะพบทางออกเมื่อนั้น เพราะกุญแจสำคัญ ที่จะช่วยทำให้เรา สามารถก้าวพ้นกับปัญหาต่างๆ จนออกไปพบกับแสงสว่างได้ นั่นก็คือ สติ ครับ
ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิดในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญกับทุกท่าน ที่มีส่วนร่วมในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ

ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น