ที่พึ่งที่ดีที่สุด ในยามชีวิตทุกข์ยาก

PURIFILM สร้างแรงบันดาลใจ ให้คติธรรม นำพลังสร้างชีวิต



สวัสดีครับคุณผู้ชมคุณผู้ฟังทุกท่าน ที่ติดตามรับชมภูริฟิล์ม คลิบนี้นะครับผมจะมาพูดคุย ในเรื่องของที่พึ่งที่ดีที่สุด ในยามที่ชีวิตทุกข์ยาก ซึ่งในเรื่องนี้ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่า ผู้มีปัญญานั้น ย่อมสร้างที่พึ่ง อันหมายถึง เกาะ ที่ห้วงน้ำไม่สามารถ จะท่วมไปถึงได้ ด้วยคุณธรรม 4 ประการ นั่นก็คือ
1. ความขยัน
2. ความไม่ประมาท
3. ความสำรวม
4. การฝึกฝนอบรมตนเอง
ท่านว่า ผู้ที่เกิดมาในโลกนี้ ที่ยังท่องเที่ยวอยู่ในสงสาร เวียนว่ายตายเกิดอยู่ ยังไม่สามารถจะกำจัดกิเลส คือ ความโลภ ความโกรธ และความหลงให้สิ้นไปได้ เพราะยังไม่ได้บำเพ็ญกุศลบารมีธรรม ให้ถึงความครบถ้วน จนสามารถบรรลุคุณธรรมพิเศษได้ จึงเป็นเหตุให้กิเลส ดุจห้วงน้ำท่วมทับจิตใจ การดำรงชีวิตอยู่ในโลก จึงประสบแต่ความทุกข์ ความวิบัติหายนะ และความเดือดร้อนด้วยประการต่างๆ ซึ่งกิเลสดุจห้วงน้ำที่ท่วมทับจิตใจ ให้ประสบกับความทุกข์ ความวิบัติหายนะนั้น พระพุทธเจ้าท่านทรงตรัสเรียกว่า โอฆะ ที่แปลว่า กิเลสดุจห้วงน้ำ ซึ่งมี 4 ประการ นั่นก็คือ กาม ภพ ทิฏฐิ และอวิชชา พระพุทธองค์ท่านประสงค์ จะให้เราทุกคนหลุดพ้นจากความชั่ว ที่ท่วมทับจิตใจ ท่านจึงทรงแสดงคุณธรรมเปรียบเสมือนเกาะ ที่คอยกั้นความชั่ว เป็นเหมือนห้วงน้ำ ไม่ให้บ่ามาท่วมทับจิตใจ เรียกว่า คุณธรรมเป็นเครื่องสร้างที่พึ่ง อันหมายถึงเกาะ ที่ห้วงน้ำท่วมทับไม่ได้ เอาไว้ 4 ประการ นั่นก็คือ ความขยันหมั่นเพียร ความไม่ประมาท ความสำรวม และการฝึกฝนตนเอง ซึ่งขยายความได้ดังนี้



1. ความขยันหมั่นเพียร อันได้แก่ การไม่ท้อถอย ในกิจการน้อยใหญ่ทั้งปวง ทั้งที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ตนเอง และเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้อื่น พยายามอบรม คุณงามความดี ให้บังเกิดขึ้น ด้วยการให้ทาน รักษาศีล และประพฤติ ปฏิบัติธรรมอยู่สม่ำเสมอ ก็ย่อมจะเจริญด้วยโภคทรัพย์ อย่างมากมาย

2. ความไม่ประมาท อันได้แก่ การไม่อยู่ปราศจากสติ ไม่ปล่อยสติให้เผลอ หลงในการดำรงชีวิต ในการแสวงหาโภคทรัพย์ และในการสร้างสม อบรมคุณงามความดี ให้พ้นภัยพิบัติ ถึงความเจริญพอกพูนสมบูรณ์ขึ้น ความไม่ประมาท จึงเป็นคุณธรรมจำปรารถนา ในที่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ

3. ความสำรวมระวังอินทรีย์ อันได้แก่ สำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เมื่อเห็นรูป ฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส ถูกต้องสัมผัส ไม่ให้เกิดความรัก ความชังและความหลง สำรวมระวังไม่ให้เกิดความรัก ความกำหนัดยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส เป็นต้น ท่านว่า การสำรวมอินทรีย์นี้ จัดเป็นคุณธรรมเหมือนทำนบ คอยกั้นความชั่วดุจห้วงน้ำ ไม่ให้ไหลบ่ามาท่วมทับได้

4. การฝึกตน อันได้แก่ การฝึกฝนอบรม กาย วาจา และใจ ให้สงบ เป็นอุบายวิธีข่มความชั่ว ไม่ให้ครอบงำจิตของเราได้ เพื่อยกระดับจิตให้สูงขึ้น โดยกิเลส ไม่สามารถชักนำ ให้ประกอบกรรมทำชั่วเสียหายได้ ดังนั้นการฝึกฝนอบรมตนเอง จึงเป็นคุณธรรมจำปรารถนา เพราะบุคคล ผู้ฝึกฝนอบรมตนดีแล้ว ย่อมเป็นผู้ประเสริฐ ท่านว่า หากมนุษย์เราทุกหมู่เหล่า ที่เกิดมาในโลกนี้ ได้สั่งสมอบรมบารมีธรรม ด้วยคุณธรรมดังที่กล่าวมาแล้ว ให้บังเกิดแก่กล้า ถึงความเต็มเปี่ยมสมบูรณ์ ก็ย่อมสร้างที่พึ่ง คือเกาะอันยอดเยี่ยม ที่กิเลสห้วงน้ำไม่สามารถ จะท่วมทับได้อย่างแน่นอน

ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่า หากเราพูดถึงปัญญา หลายๆ คน ก็คงจะรู้จัก แต่จะมีสักกี่คนที่นำปัญญานั้น มาใช้ให้เกิดประโยชน์ เพราะปัญญาเป็นนามธรรม มีแต่เพียงชื่อ แต่ไม่ปรากฏตัวตนให้เราเห็น ดังนั้นคนจำนวนไม่น้อยที่รู้จักปัญญา ก็เพียงผลที่ปรากฏเท่านั้น อย่างเช่น คนไหนเรียนเก่ง เรียนจบไว เราก็มักจะเรียกคนๆ นั้นว่า ปัญญาดี หรือใครที่จำเก่ง จำแม่น เราก็ว่าคนนั้นปัญญาดี แต่ในความจริงแล้วที่กล่าวมานั้น เป็นผลของปัญญาทั้งสิ้น ซึ่งไม่ใช่ตัวปัญญา ท่านว่าปัญญานั้น ก็คือ รู้อารมณ์ ตัดสินอารมณ์ที่เกิดขึ้นกับใจ ซึ่งมีอยู่ 3 ประเภทด้วยกัน นั่นก็คือ
1. ปัญญาที่ติดตัวเรามาตั้งแต่กำเนิด
2. ปัญญาที่เกิดจาก ความนึกคิด
3. ปัญญาที่เกิดจาก การสั่งสมอบรมให้มีขึ้น
ท่านว่า หากเราพิจารณา ปัญญาทั้ง 3 ประเภทนี้ เราก็จะเห็นว่าทุกคนนั้น ก็ล้วนมีปัญญาด้วยกันทั้งสิ้น เพราะเราต่างมีปัญญาติดตัวมาตั้งแต่เกิด แต่ใครจะมีปัญญามากน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับปัญญา ที่เกิดจากความนึกคิด และปัญญาที่เกิดจาก การสั่งสมอบรมให้มีขึ้น ฉะนั้นใครที่รู้จักคิด ได้รับการสั่งสมอบรมมามาก เขาก็จะมีปัญญามากเช่นกัน

ปัญญานั้น เป็นเครื่องส่องสว่าง เพราะการที่เราจะประกอบกิจการสิ่งใด เราก็จะต้องอาศัยแสงสว่าง ซึ่งถ้าไม่มีแสงสว่างแล้ว เราก็ไม่สามารถจะทำอะไรได้ ดังเช่น คนเราถ้าปราศจากปัญญา ก็เหมือนอยู่ในที่มืด ทำอะไรไม่ได้ ฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสว่า ปัญญาเป็นแสงสว่างในโลก แต่ปัญญานั้น ก็ย่อมจะมีทั้งคุณและโทษ สุดแท้แต่ผู้นำเอาไปใช้ ถ้านำเอาไปใช้ในทางที่ดี มีประโยชน์ ก็จะก่อให้เกิดคุณ แต่ถ้านำเอาไปใช้ในทางที่ไม่ดี ไม่มีประโยชน์ ก็จะก่อให้เกิดโทษเช่นเดียวกัน ท่านว่า ปัญญาที่ถูกนำไปใช้ ต้องมีการกระทำไว้ในใจ โดยอุบายอันแยบคายคอยกำกับ อันหมายความว่า ก่อนจะใช้ปัญญา ต้องกำหนดไว้ในใจ ถึงสิ่งที่จะทำนั้น แจกแจงโดยละเอียด ให้เห็นว่าสิ่งไหนผิด สิ่งไหนถูก สิ่งไหนมีประโยชน์ สิ่งไหนไม่มีประโยชน์ สิ่งไหนเป็นคุณ สิ่งไหนเป็นโทษ แล้วจึงใช้ปัญญาตัดสิน เลือกทำแต่สิ่งที่ชอบ ที่ดี ที่ถูก และที่ควร ซึ่งหากเราทำได้เช่นนี้ การกระทำนั้น ก็จะเป็นไปในทางที่ดี มีประโยชน์ ก่อให้เกิดคุณ แต่ต้องระวังอย่าให้มีโมหะ ความหลงไม่รู้จริงกำกับ เพราะปัญญาที่มีโมหะเป็นตัวชี้นำ จะเป็นปัญญาที่งมงาย โมหะจะเป็นตัวปิดบัง ทางแห่งความเห็นชอบ ดังนั้นคนมีปัญญา ที่ถูกโมหะชี้นำ ก็มักจะเป็นคนหลงผิดเป็นชอบเสมอ ฉะนั้น เมื่อเราจะทำสิ่งใด ก็ควรใช้ปัญญาให้มากๆ เพื่อกันความผิดพลาดอันจะพึงมี และจะลงมือทำสิ่งใด ก็ต้องคิดให้รอบคอบถึงผลดี ผลร้าย ผลได้ และผลเสียก่อน แล้วจึงค่อยลงมือทำ เมื่อทำไปแล้ว จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจภายหลัง ท่านว่า คนที่ใช้ปัญญาทำทุกสิ่งทุกอย่าง เปรียบเสมือนคนที่เดินทางกลางคืน มีคบไฟส่องนำทางสว่างไสว เดินไปตามแสงไฟนั้น ก็ย่อมจะปลอดภัย แต่ตรงกันข้ามกับคน ที่ทำอะไรไม่ใช้ปัญญา เปรียบเสมือนคนที่เดินทางในกลางคืน ไม่มีแสงไฟนำทาง เมื่อเดินไปท่ามกลางความมืด ก็จะเป็นอันตรายอย่างยิ่งครับ

ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิดในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญกับทุกท่าน ที่มีส่วนร่วมในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ขันธ์ 5 คืออะไร ทำไมคนเป็นโรคซึมเศร้าต้องเรียนรู้ขันธ์ 5

สิริมงคล 8 ประการ เสริมบุญบารมี ให้ชีวิตรุ่งเรืองตลอดไป

มงคลชีวิต 4 ประการ หนทางสู่ความสำเร็จ

วิธีอ่านใจคน ศาสตร์เรียนรู้จุดอ่อน ด้วยจริต 6 ประการ

ฆราวาสธรรม 4 ประการ ธรรมะที่นำพาชีวิตให้ร่ำรวย