รู้จักพอ รู้จักให้ รู้จักปล่อยวาง มองทุกอย่างเป็นธรรมดา

PURIFILM สร้างแรงบันดาลใจ ให้คติธรรม นำพลังสร้างชีวิต



สวัสดีครับคุณผู้ชมคุณผู้ฟังทุกท่าน ที่ติดตามรับชมภูริฟิล์ม คลิบนี้นะครับผมจะมาพูดคุยในเรื่องของ การรู้จักพอ การรู้จักให้ รู้จักปล่อยวาง และมองทุกอย่างเป็นธรรมดา ซึ่งในเรื่องนี้ครูบาอาจารย์ ท่านให้ข้อคิดเตือนสติว่า ในทุกวันนี้ หลายๆ คน อาจจะกลายเป็นคนตกงาน หรือเป็นหนี้เป็นสินมากมาย หรือธุรกิจการงานอาจจะติดขัด บางคนเองก็อาจจะทำงานอย่างหนัก ทุกวันก็ต้องออกจากบ้านตั้งแต่เช้า หรือบางคนก็ต้องทำงานแบบเดิมๆ ที่แสนจะเบื่อหน่าย เพราะความจำเป็นบางประการ อย่างเช่น ต้องผ่อนบ้าน ผ่อนรถ หรือต้องจ่ายค่าเทอมลูก เป็นต้น ซึ่งครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่า ความหวังของมนุษย์นั้น อาจจะสมหวัง หรือผิดหวังก็ได้ ซึ่งในพระพุทธศาสนา ได้แสดงข้อที่ภิกษุพึงหวัง เมื่อปฏิบัติตามคำสอน ของพระพุทธศาสนา ซึ่งสรุปความว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า ขอเราพึงเป็นที่รัก เป็นที่ชอบใจ เป็นที่เคารพ และเป็นผู้ควรยกย่อง ของเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย ภิกษุนั้นพึงกระทำให้บริบูรณ์ในศีล หมั่นประกอบธรรม เครื่องระงับจิตของตน ไม่ทำฌานให้เหินห่าง ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร” ซึ่งในข้อนี้ท่านว่า แม้ฆราวาส ก็สามารถหวังได้เหมือนกันว่า ขอเราพึงเป็นที่รัก ที่ชอบใจของมหาชน ข้อปฏิบัติ ก็สามารถประยุกต์ใช้ได้ คือมีความเป็นปกติเสมอต้นเสมอปลาย หักห้ามจิต ไม่ให้หลงมัวเมาจนเกินไป เป็นต้น ซึ่งคำว่าศีล ก็แปลว่า ความเป็นปกติ ดังนั้นคนที่มีศีล ก็คือ คนที่มีความเป็นปกตินั่นเอง



ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่า หลักธรรมสั้นๆ ที่จะทำให้เรา ใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข ในปัจจุบันนี้ ก็มีอยู่ 4 ประการด้วยกันคือ “การรู้จักพอ รู้จักให้ รู้จักปล่อยวาง และเห็นทุกอย่างเป็นธรรมดา” ซึ่งมีสาระโดยสรุปดังนี้

1. การรู้จักพอ
ท่านว่า บางคนนั้น ชีวิตได้ผ่านเหตุการณ์ มาหลากหลายประการ ได้เห็นทั้งทางโลก และทางธรรม ตามที่ปรากฎในโลกธรรม 8 ประการ ที่ประกอบไปด้วย
โลกธรรมฝ่ายอิฏฐารมณ์ คือ พอใจของมนุษย์ เป็นที่รักเป็นที่ปรารถนา ซึ่งมี 4 อย่างคือ
1. ลาภ คือ ได้ผลประโยชน์ ได้มาซึ่งทรัพย์
2. ยศ คือ ได้รับฐานันดรสูงขึ้น ได้อำนาจเป็นใหญ่เป็นโต
3. สรรเสริญ คือ ได้ยิน ได้ฟัง คำสรรเสริญ คำชมเชย คำยกย่อง เป็นที่น่าพอใจ
4. สุข คือ ได้ความสบายกาย สบายใจ ความเบิกบาน บันเทิงใจเริงใจ เป็นต้น

ส่วนโลกธรรม ฝ่ายอนิฏฐารมณ์ คือ ความไม่พอใจของมนุษย์ ไม่เป็นที่ปรารถนา มี 4 อย่างคือ
1. เสื่อมลาภ คือ เสียลาภไป ไม่อาจดำรงอยู่ได้
2. เสื่อมยศ คือ ถูกลดอำนาจความเป็นใหญ่
3. นินทาว่าร้าย คือ ถูกตำหนิติเตียนว่าไม่ดี ถูกติฉินนินทา หรือถูกกล่าวร้ายให้เสียหาย
4. ทุกข์ คือ ได้รับความทุกขเวทนา ทรมานกาย ทรมานใจ เป็นต้น

ท่านว่า โลกธรรม 8 ประการนี้ ย่อมหมุนไปตามโลก และโลกย่อมหมุนไป ตามโลกธรรม 8 ประการ คือ มีลาภ ก็เสื่อมลาภ มียศ ก็เสื่อมยศ มีนินทา ก็มีสรรเสริญ มีความสุข ก็มีความทุกข์ ท่านว่าธรรมในหมู่มนุษย์เหล่านี้ เป็นสภาพไม่เที่ยง ไม่แน่นอน มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา แต่ท่านที่เป็นนักปราชญ์ มีสติ เมื่อรู้ธรรมเหล่านี้แล้ว ก็จะพิจารณาเห็นว่า มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ธรรมอันน่าปรารถนา ก็ย่อมย่ำยีจิตของท่านไม่ได้ ท่านย่อมไม่ยินร้ายต่ออนิฏฐารมณ์ สามารถขจัดความยินดี และความยินร้ายได้ ดังนั้นชีวิตของเรา จึงควรจะรู้จักพอบ้าง

2. การรู้จักให้
ท่านว่า เมื่อเรารู้จักพอ ก็ควรรู้จักให้ในสิ่งที่ตนเองมี อย่างเช่น อาจจะเป็นทรัพย์สมบัติ ทรัพย์สินเงินทอง หรือข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ เพื่อตอบแทนคุณแผ่นดิน หรือให้แก่คนรอบข้าง ญาติพี่น้อง มิตรสหายตามสมควร โดยที่ตัวเองไม่เดือดร้อน เพราะการให้ ย่อมจะทำให้มีความสุข และผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก ดังคำที่ว่า "ผู้ให้ของที่พอใจ ย่อมได้ของที่พอใจ ผู้ให้ของที่เลิศ ย่อมได้ของที่เลิศ ผู้ให้ของที่ดี ย่อมได้ของที่ดี และผู้ให้ของที่ประเสริฐ ย่อมเข้าถึงสถานที่ประเสริฐ นรชนใดให้ของที่เลิศ ให้ของที่ดี และให้ของที่ประเสริฐ นรชนนั้น จะบังเกิด ณ ที่ใดๆ ย่อมมีอายุยืน มียศ” และที่สำคัญผู้ให้ ย่อมเป็นที่รักของคนอื่นเสมอ ซึ่งเราทุกคน ก็ควรจะรู้จักเป็นผู้ให้ แม้จะไม่ใช่สิ่งของเงินทอง แต่อาจจะเป็นการให้คำแนะนำ ให้วิชาความรู้แก่คนทั่วไป ก็ได้ชื่อว่า เป็นผู้รู้จักให้ ย่อมจะมีความสุข จากการเป็นผู้ให้ตามสมควร

3. รู้จักปล่อยวาง
ท่านว่า ชีวิตของเรา ดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว เราไม่ควรจะแบกทุกอย่างไว้บนบ่า แห่งความรับผิดชอบ ให้หนักอึ้งอีกต่อไป เราผ่านร้อนผ่านหนาวมามากพอแล้ว ควรจะถึงเวลา ต้องปล่อยวางสักที 4. เห็นทุกอย่างเป็นธรรมดา ท่านว่าเรื่องนี้เป็นหลักธรรมขั้นสูง ในพระพุทธศาสนา ได้แสดงสิ่งที่เป็นธรรมดาทั่วไป ของสิ่งทั้งหลายว่า มีความเหมือนกัน นั่นคือสามัญลักษณะ ซึ่งมีใจความว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่อุบัติขึ้นก็ตาม ธาตุนั้น คือความตั้งอยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดา ก็คงตั้งอยู่อย่างนั้นเอง ตถาคตตรัสรู้ บรรลุธาตุนั้นว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง ครั้นแล้วจึงบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนกทำให้เข้าใจง่าย ว่าสังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ครั้นแล้วจึงบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้เข้าใจง่ายว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา” ท่านว่า นี้คือความเป็นไป ตามธรรมดาของสิ่งทั้งหลาย เราต้องมองให้เห็น ตามสภาพความเป็นจริง

ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่า ใครจะสมหวัง หรือไม่สมหวังนั้น ก็ขึ้นอยู่กับวิธีการของแต่ละคน บางคนการทำงาน อาจจะไปถึงตำแหน่งสูงสุด บางคนอาจจะไปไม่ถึงไหน ยังคงเวียนว่ายตายเกิด อยู่ในตำแหน่งเดิมๆ ท่านว่า การมีความหวัง ก็เป็นกำลังใจอย่างหนึ่ง ที่ทำให้มนุษย์เรามีเป้าหมาย แต่พอเราไปถึงเป้าหมายแล้ว การตั้งความหวัง ก็ไม่มีความหมายอีกต่อไป ซึ่งก็เหมือนเรือที่ทำหน้าที่ข้ามฟาก พอส่งถึงฝั่งก็จะหมดหน้าที่ การทำงานในหน้าที่ก็คล้ายกัน เมื่อหมดเวลา เราก็หมดหน้าที่ ดังนั้น “หากเรารู้จักพอ รู้จักให้ รู้จักปล่อยวาง และเห็นทุกอย่างเป็นธรรมดา” ชีวิตนี้ ก็จะอยู่อย่างมีคุณค่า ครับ

ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิดในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญกับทุกท่าน ที่มีส่วนร่วมในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ขันธ์ 5 คืออะไร ทำไมคนเป็นโรคซึมเศร้าต้องเรียนรู้ขันธ์ 5

สิริมงคล 8 ประการ เสริมบุญบารมี ให้ชีวิตรุ่งเรืองตลอดไป

มงคลชีวิต 4 ประการ หนทางสู่ความสำเร็จ

วิธีอ่านใจคน ศาสตร์เรียนรู้จุดอ่อน ด้วยจริต 6 ประการ

ฆราวาสธรรม 4 ประการ ธรรมะที่นำพาชีวิตให้ร่ำรวย