วิธีจัดการความวิตกกังวล ในช่วงชีวิตย่ำแย่
PURIFILM สร้างแรงบันดาลใจ ให้คติธรรม นำพลังสร้างชีวิต
สวัสดีครับคุณผู้ชมคุณผู้ฟังทุกท่าน ที่ติดตามรับชมภูริฟิล์ม คลิบนี้นะครับผมจะมาพูดคุย ในเรื่องของวิธีจัดการกับ ความวิตกกังวล ในช่วงชีวิตย่ำแย่ ซึ่งในเรื่องนี้ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่า ในโลกนี้ไม่มีใคร ที่ไม่มีความวิตกกังวล แต่เมื่อมีความวิตกกังวลแล้ว จะมีสักกี่คน ที่สามารถ จะรับมือกับปัญหาเหล่านี้ได้ ท่านว่าโดยทั่วไปแล้ว 1 ใน 10 คน จะมีปัญหา เรื่องความวิตกกังวล จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของบุคลิกภาพ เพราะความวิตกกังวลเรื้อรังนี้ จะส่งผลเสียต่อสภาพร่างกายและจิตใจ รวมทั้งความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง การทำงาน หรือชีวิตครอบครัวด้วย ดังนั้น หากปัจจุบันนี้ เราเป็นคนหนึ่ง ที่ถูกความวิตกกังวล เข้ามาครอบงำอยู่ ก็จงใช้ 10 วิธีดังต่อไปนี้ เพื่อช่วยขจัด ความวิตกกังวลออกไป ซึ่งวิธีการมีดังต่อไปนี้
ข้อที่ 1. จงจำไว้ว่า อย่าหลอกตัวเอง
ท่านว่า หากเราเป็นคน ที่วิตกกังวลมาก ก็อาจจะมีแนวโน้ม หลอกตัวเองว่า ที่กังวลใจอยู่ ก็เพราะ กำลังคิดหาวิธีจัดการกับปัญหา ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ความวิตกกังวลนี้ มันไม่ได้ช่วยให้เรา จัดการกับปัญหาต่างๆ อย่างได้ผล แต่ในทางตรงกันข้าม มันกลับส่งผลร้าย ให้เรามากกว่า เพราะทุกครั้งที่เราเกิดความวิตกกังวล ความเครียดต่างๆ ก็จะตามมาติดๆ และความเครียดเหล่านี้นี่เอง ที่เป็นบ่อเกิดของโรคร้ายสารพัด ฉะนั้นพยายามอย่าหลอกตัวเอง
ข้อที่ 2. จงจำไว้ว่า ทุกปัญหามีทางแก้ไข
ท่านว่า โดยปกติแล้ว หากมีเรื่องยุ่งยาก หรือมีอุปสรรคปัญหาเกิดขึ้นในชีวิต หลายๆ คนก็มักจะวิตกกังวล จึงส่งผลให้การแก้ไขปัญหา ไร้ประสิทธิภาพ ฉะนั้น เมื่อเราพบเจอกับอุปสรรคปัญหาต่างๆ ก็อย่าเอาแต่วิตกกังวล หรือนั่งจมกองทุกข์ แต่จงระลึกเอาไว้เสมอว่า ทุกปัญหาย่อมมีทางแก้ แล้วเราควรจะคิดหาทางแก้ไขจะดีกว่า อย่างเช่น อาจจะขอคำแนะนำ จากผู้รู้ จากผู้เชี่ยวชาญ หรือผู้ที่มีประสบการณ์ในเรื่องนั้นๆ หรือ อาจจะค้นหาข้อมูล ตามเว็บไซต์ต่างๆ เป็นต้น
ข้อที่ 3. จงจำไว้ว่า อย่าได้วิตกจริต
ท่านว่า เราควรจะเอาสมอง ไปคิดในเรื่องที่เป็นประโยชน์ มากกว่าที่จะเสียเวลาตั้งคำถามที่ว่า ถ้าหากเป็นอย่างนั้น ถ้าหากเป็นอย่างนี้ ซึ่งการตั้งคำถามเหล่านี้ มันอาจจะดูเหมือนเป็นการไม่ประมาท แต่ถ้าเราอยู่ในสภาวะวิตกกังวล เราก็มักจะคิดไปในแง่ลบเสมอ ซึ่งมันจะทำให้เกิดอาการวิตกจริตตามมาด้วย ดังนั้น เราจึงไม่ควรเสียเวลา ในการคาดเดาล่วงหน้ากับเรื่องที่ไร้สาระ หรือเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง
ข้อที่ 4. จงเปลี่ยนคำว่า ถ้าหาก เป็นคำว่า ฉันจะ
อย่างเช่น ถ้าหาก หาเงินไม่ได้วันนี้ คงจะต้องอดข้าวอย่างแน่นอน ให้เปลี่ยนมาเป็นคำว่า ฉันจะ ออกไปรับจ้างทำงานเล็กๆ น้อยๆ เพื่อให้ได้เงินมาซื้อข้าวกินก่อน เป็นต้น ท่านว่า การจะจัดการ กับความวิตกกังวลเหล่านี้ได้ เราจะต้องรู้จักหน้าตา ของพวกมันก่อน อย่างเช่น การจดบันทึก เรื่องวิตกกังวลที่เกิดขึ้นกับเรา หากเราทำได้อย่างนี้ สักหนึ่งอาทิตย์ เราก็จะรู้ว่า สิ่งที่เรากังวลส่วนใหญ่นั้น มันเป็นเรื่องถ้าหาก หรือไม่ ซึ่งความกังวลเช่นนี้ ท่านว่า ไม่มีประโยชน์ ฉะนั้นเราควรจะเปลี่ยนจากคำว่า ถ้าหาก มาเป็นคำว่า ฉันจะ จะดีกว่า เพราะมันจะนำเราไปสู่การแก้ใขปัญหา และจะทำให้เราไม่เครียดด้วย
ข้อที่ 5. จงรู้จัก ยอมรับกับความไม่เที่ยง
ท่านว่า หนึ่งในกฎไตรลักษณ์ ที่เป็นหลักธรรมทางพุทธศาสนา นั่นก็คือ อนิจจัง อันหมายถึงความไม่เที่ยง เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา ฉะนั้น เราทุกคนจึงควรตั้งอยู่ ในความไม่ประมาท และเรียนรู้ที่จะอยู่ และอดทนกับความไม่แน่นอน เพราะการยอมรับ ในสิ่งไม่คาดคิดที่เกิดขึ้นในชีวิต มันจะช่วยทำให้เรา ไม่เป็นทุกข์มากจนเกินไป และความวิตกกังวล มันก็จะน้อยลงไปด้วย ซึ่งมันจะส่งผลทำให้เรามีความสุขมากขึ้น
ข้อที่ 6. จงจำไว้ว่า อย่าเก็บกด กับความวิตกกังวล
ท่านว่า หากเราเริ่มรู้สึก วิตกกังวลในบางเรื่อง ก็จงอย่าพยายามต่อสู้ หรือฝืนที่จะไม่เก็บมันมาคิด เพราะถ้าเราพยายามจะกดไว้ในที่สุดแล้ว มันก็จะเด้งกลับมาแรงกว่าเดิมอีก ฉะนั้นวิธีที่ดีที่สุด เราควรจะเผชิญหน้ากับมัน ด้วยการเฝ้ามองและรับรู้ แต่อย่าเอาใจเข้าไปผูกพัน หรือเอาจิตเข้าไปปรุงแต่ง แล้วก็ข้ามผ่านไปทำกิจกรรมอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ ที่ช่วยทำให้ใจเราเบิกบาน อย่างเช่น การรดน้ำต้นไม้ ปลูกต้นไม้ เป็นต้น
ข้อที่ 7. จงแบ่งเวลาจัดการกับเรื่องที่กังวล
ท่านว่า หากเรา ยังมีสิ่งที่ต้องครุ่นคิดเป็นกังวล เราก็ควรหาทางรับมือกับมัน อย่างชาญฉลาด ด้วยการแบ่งเวลาให้กับเรื่องนั้นๆ โดยเฉพาะ อย่างเช่น เราอาจให้เวลา 1 ชั่วโมง หลังจากการทำงานแล้ว เพื่อจัดการกับปัญหาต่างๆ ส่วนการแก้ไขจะสำเร็จ หรือไม่สำเร็จนั้น เมื่อครบกำหนดเวลาแล้ว เราก็ควรจะหยุด และพาตัวเอง ออกจากสถานการณ์นั้นๆ แล้วอาบน้ำพักผ่อนให้คลายเครียด วันรุ่งขึ้นค่อยคิด หาทางแก้ไขใหม่จะดีกว่า
ข้อที่ 8. จงหยิบความกังวลออกจากสมอง
ท่านว่า บ่อยครั้งที่ความวิตกกังวล อาจจะทำให้เรานอนไม่หลับ เพราะสมอง มัวแต่ครุ่นคิดถึงปัญหา และหาหนทางแก้ไข จนทำให้ร่างกาย อยู่ในสภาพอิดโรย เพราะนอนหลับไม่เพียงพอ ฉะนั้น วิธีที่จะจัดการได้ดีที่สุด นั่นก็คือ การเตรียมปากกา และกระดาษไว้ใกล้ๆ ตัว เมื่อรู้สึกว่านอนไม่หลับ ก็ให้เราเขียน หรือบันทึก สิ่งที่เราจะต้องทำในวันรุ่งขึ้น รวมถึงเรื่องที่วิตกกังวลอยู่ เพราะการกระทำเช่นนี้ท่านว่า เปรียบเสมือน การหยิบความกังวล ออกจากสมอง มาวางไว้ข้างนอก ซึ่งมันจะช่วยทำให้เรา นอนหลับได้ง่ายขึ้น
ข้อที่ 9. จงจำไว้ว่า อย่าอยู่กับอารมณ์ ในด้านลบ
ท่านว่า อารมณ์ด้านลบที่เกิดขึ้น อย่างเช่น ความกระวนกระวาย ความเศร้าโศก ความโกรธ ความรู้สึกผิด ความละอายใจ หรือแม้แต่อาการ ที่เกิดขึ้นทางร่างกาย อย่างเช่น ความเหนื่อยล้า ความเจ็บปวด สิ่งเหล่านี้ ล้วนเป็นตัวเร่ง ให้ความวิตกกังวลเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น หากเราไม่อาจหยุดยั้ง ความวิตกกังวลให้เกิดขึ้นได้ อย่างน้อยที่สุด เราก็พยายาม อย่าให้มันเกิดขึ้น ในช่วงที่เราอยู่ ในสภาพอารมณ์แย่ๆ เพราะความรุนแรงมันจะยิ่งเพิ่มขึ้น และยากที่จะควบคุมเอาไว้ได้
ข้อที่ 10. จงอยู่กับปัจจุบันขณะ
ท่านว่า การใช้เวลาหมกมุ่น เฝ้ากังวล กับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นในอนาคต มีแต่จะทำให้เราเหลือเวลาน้อยลง กับความสุขที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบัน ดังนั้น อย่าจดจ่ออยู่กับเรื่องที่เป็นกังวล จงโฟกัสกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ในเวลานั้น อย่างเช่น การทำงาน การดูทีวี อ่านหนังสือ หรือทำสวน ทำอาหารเป็นต้น เพราะมันจะทำให้เรา ลืมความวิตกกังวลไปได้บ้างในช่วงหนึ่ง ครับ
ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิดในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญกับทุกท่าน ที่มีส่วนร่วมในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ
สวัสดีครับคุณผู้ชมคุณผู้ฟังทุกท่าน ที่ติดตามรับชมภูริฟิล์ม คลิบนี้นะครับผมจะมาพูดคุย ในเรื่องของวิธีจัดการกับ ความวิตกกังวล ในช่วงชีวิตย่ำแย่ ซึ่งในเรื่องนี้ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่า ในโลกนี้ไม่มีใคร ที่ไม่มีความวิตกกังวล แต่เมื่อมีความวิตกกังวลแล้ว จะมีสักกี่คน ที่สามารถ จะรับมือกับปัญหาเหล่านี้ได้ ท่านว่าโดยทั่วไปแล้ว 1 ใน 10 คน จะมีปัญหา เรื่องความวิตกกังวล จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของบุคลิกภาพ เพราะความวิตกกังวลเรื้อรังนี้ จะส่งผลเสียต่อสภาพร่างกายและจิตใจ รวมทั้งความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง การทำงาน หรือชีวิตครอบครัวด้วย ดังนั้น หากปัจจุบันนี้ เราเป็นคนหนึ่ง ที่ถูกความวิตกกังวล เข้ามาครอบงำอยู่ ก็จงใช้ 10 วิธีดังต่อไปนี้ เพื่อช่วยขจัด ความวิตกกังวลออกไป ซึ่งวิธีการมีดังต่อไปนี้
ข้อที่ 1. จงจำไว้ว่า อย่าหลอกตัวเอง
ท่านว่า หากเราเป็นคน ที่วิตกกังวลมาก ก็อาจจะมีแนวโน้ม หลอกตัวเองว่า ที่กังวลใจอยู่ ก็เพราะ กำลังคิดหาวิธีจัดการกับปัญหา ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ความวิตกกังวลนี้ มันไม่ได้ช่วยให้เรา จัดการกับปัญหาต่างๆ อย่างได้ผล แต่ในทางตรงกันข้าม มันกลับส่งผลร้าย ให้เรามากกว่า เพราะทุกครั้งที่เราเกิดความวิตกกังวล ความเครียดต่างๆ ก็จะตามมาติดๆ และความเครียดเหล่านี้นี่เอง ที่เป็นบ่อเกิดของโรคร้ายสารพัด ฉะนั้นพยายามอย่าหลอกตัวเอง
ข้อที่ 2. จงจำไว้ว่า ทุกปัญหามีทางแก้ไข
ท่านว่า โดยปกติแล้ว หากมีเรื่องยุ่งยาก หรือมีอุปสรรคปัญหาเกิดขึ้นในชีวิต หลายๆ คนก็มักจะวิตกกังวล จึงส่งผลให้การแก้ไขปัญหา ไร้ประสิทธิภาพ ฉะนั้น เมื่อเราพบเจอกับอุปสรรคปัญหาต่างๆ ก็อย่าเอาแต่วิตกกังวล หรือนั่งจมกองทุกข์ แต่จงระลึกเอาไว้เสมอว่า ทุกปัญหาย่อมมีทางแก้ แล้วเราควรจะคิดหาทางแก้ไขจะดีกว่า อย่างเช่น อาจจะขอคำแนะนำ จากผู้รู้ จากผู้เชี่ยวชาญ หรือผู้ที่มีประสบการณ์ในเรื่องนั้นๆ หรือ อาจจะค้นหาข้อมูล ตามเว็บไซต์ต่างๆ เป็นต้น
ข้อที่ 3. จงจำไว้ว่า อย่าได้วิตกจริต
ท่านว่า เราควรจะเอาสมอง ไปคิดในเรื่องที่เป็นประโยชน์ มากกว่าที่จะเสียเวลาตั้งคำถามที่ว่า ถ้าหากเป็นอย่างนั้น ถ้าหากเป็นอย่างนี้ ซึ่งการตั้งคำถามเหล่านี้ มันอาจจะดูเหมือนเป็นการไม่ประมาท แต่ถ้าเราอยู่ในสภาวะวิตกกังวล เราก็มักจะคิดไปในแง่ลบเสมอ ซึ่งมันจะทำให้เกิดอาการวิตกจริตตามมาด้วย ดังนั้น เราจึงไม่ควรเสียเวลา ในการคาดเดาล่วงหน้ากับเรื่องที่ไร้สาระ หรือเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง
ข้อที่ 4. จงเปลี่ยนคำว่า ถ้าหาก เป็นคำว่า ฉันจะ
อย่างเช่น ถ้าหาก หาเงินไม่ได้วันนี้ คงจะต้องอดข้าวอย่างแน่นอน ให้เปลี่ยนมาเป็นคำว่า ฉันจะ ออกไปรับจ้างทำงานเล็กๆ น้อยๆ เพื่อให้ได้เงินมาซื้อข้าวกินก่อน เป็นต้น ท่านว่า การจะจัดการ กับความวิตกกังวลเหล่านี้ได้ เราจะต้องรู้จักหน้าตา ของพวกมันก่อน อย่างเช่น การจดบันทึก เรื่องวิตกกังวลที่เกิดขึ้นกับเรา หากเราทำได้อย่างนี้ สักหนึ่งอาทิตย์ เราก็จะรู้ว่า สิ่งที่เรากังวลส่วนใหญ่นั้น มันเป็นเรื่องถ้าหาก หรือไม่ ซึ่งความกังวลเช่นนี้ ท่านว่า ไม่มีประโยชน์ ฉะนั้นเราควรจะเปลี่ยนจากคำว่า ถ้าหาก มาเป็นคำว่า ฉันจะ จะดีกว่า เพราะมันจะนำเราไปสู่การแก้ใขปัญหา และจะทำให้เราไม่เครียดด้วย
ข้อที่ 5. จงรู้จัก ยอมรับกับความไม่เที่ยง
ท่านว่า หนึ่งในกฎไตรลักษณ์ ที่เป็นหลักธรรมทางพุทธศาสนา นั่นก็คือ อนิจจัง อันหมายถึงความไม่เที่ยง เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา ฉะนั้น เราทุกคนจึงควรตั้งอยู่ ในความไม่ประมาท และเรียนรู้ที่จะอยู่ และอดทนกับความไม่แน่นอน เพราะการยอมรับ ในสิ่งไม่คาดคิดที่เกิดขึ้นในชีวิต มันจะช่วยทำให้เรา ไม่เป็นทุกข์มากจนเกินไป และความวิตกกังวล มันก็จะน้อยลงไปด้วย ซึ่งมันจะส่งผลทำให้เรามีความสุขมากขึ้น
ข้อที่ 6. จงจำไว้ว่า อย่าเก็บกด กับความวิตกกังวล
ท่านว่า หากเราเริ่มรู้สึก วิตกกังวลในบางเรื่อง ก็จงอย่าพยายามต่อสู้ หรือฝืนที่จะไม่เก็บมันมาคิด เพราะถ้าเราพยายามจะกดไว้ในที่สุดแล้ว มันก็จะเด้งกลับมาแรงกว่าเดิมอีก ฉะนั้นวิธีที่ดีที่สุด เราควรจะเผชิญหน้ากับมัน ด้วยการเฝ้ามองและรับรู้ แต่อย่าเอาใจเข้าไปผูกพัน หรือเอาจิตเข้าไปปรุงแต่ง แล้วก็ข้ามผ่านไปทำกิจกรรมอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ ที่ช่วยทำให้ใจเราเบิกบาน อย่างเช่น การรดน้ำต้นไม้ ปลูกต้นไม้ เป็นต้น
ข้อที่ 7. จงแบ่งเวลาจัดการกับเรื่องที่กังวล
ท่านว่า หากเรา ยังมีสิ่งที่ต้องครุ่นคิดเป็นกังวล เราก็ควรหาทางรับมือกับมัน อย่างชาญฉลาด ด้วยการแบ่งเวลาให้กับเรื่องนั้นๆ โดยเฉพาะ อย่างเช่น เราอาจให้เวลา 1 ชั่วโมง หลังจากการทำงานแล้ว เพื่อจัดการกับปัญหาต่างๆ ส่วนการแก้ไขจะสำเร็จ หรือไม่สำเร็จนั้น เมื่อครบกำหนดเวลาแล้ว เราก็ควรจะหยุด และพาตัวเอง ออกจากสถานการณ์นั้นๆ แล้วอาบน้ำพักผ่อนให้คลายเครียด วันรุ่งขึ้นค่อยคิด หาทางแก้ไขใหม่จะดีกว่า
ข้อที่ 8. จงหยิบความกังวลออกจากสมอง
ท่านว่า บ่อยครั้งที่ความวิตกกังวล อาจจะทำให้เรานอนไม่หลับ เพราะสมอง มัวแต่ครุ่นคิดถึงปัญหา และหาหนทางแก้ไข จนทำให้ร่างกาย อยู่ในสภาพอิดโรย เพราะนอนหลับไม่เพียงพอ ฉะนั้น วิธีที่จะจัดการได้ดีที่สุด นั่นก็คือ การเตรียมปากกา และกระดาษไว้ใกล้ๆ ตัว เมื่อรู้สึกว่านอนไม่หลับ ก็ให้เราเขียน หรือบันทึก สิ่งที่เราจะต้องทำในวันรุ่งขึ้น รวมถึงเรื่องที่วิตกกังวลอยู่ เพราะการกระทำเช่นนี้ท่านว่า เปรียบเสมือน การหยิบความกังวล ออกจากสมอง มาวางไว้ข้างนอก ซึ่งมันจะช่วยทำให้เรา นอนหลับได้ง่ายขึ้น
ข้อที่ 9. จงจำไว้ว่า อย่าอยู่กับอารมณ์ ในด้านลบ
ท่านว่า อารมณ์ด้านลบที่เกิดขึ้น อย่างเช่น ความกระวนกระวาย ความเศร้าโศก ความโกรธ ความรู้สึกผิด ความละอายใจ หรือแม้แต่อาการ ที่เกิดขึ้นทางร่างกาย อย่างเช่น ความเหนื่อยล้า ความเจ็บปวด สิ่งเหล่านี้ ล้วนเป็นตัวเร่ง ให้ความวิตกกังวลเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น หากเราไม่อาจหยุดยั้ง ความวิตกกังวลให้เกิดขึ้นได้ อย่างน้อยที่สุด เราก็พยายาม อย่าให้มันเกิดขึ้น ในช่วงที่เราอยู่ ในสภาพอารมณ์แย่ๆ เพราะความรุนแรงมันจะยิ่งเพิ่มขึ้น และยากที่จะควบคุมเอาไว้ได้
ข้อที่ 10. จงอยู่กับปัจจุบันขณะ
ท่านว่า การใช้เวลาหมกมุ่น เฝ้ากังวล กับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นในอนาคต มีแต่จะทำให้เราเหลือเวลาน้อยลง กับความสุขที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบัน ดังนั้น อย่าจดจ่ออยู่กับเรื่องที่เป็นกังวล จงโฟกัสกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ในเวลานั้น อย่างเช่น การทำงาน การดูทีวี อ่านหนังสือ หรือทำสวน ทำอาหารเป็นต้น เพราะมันจะทำให้เรา ลืมความวิตกกังวลไปได้บ้างในช่วงหนึ่ง ครับ
ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิดในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญกับทุกท่าน ที่มีส่วนร่วมในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ

ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น