ทางสายกลาง สำหรับคนรุ่นใหม่เข้าใจง่าย ด้วยอริยมรรคมีองค์ ๘
PURIFILM สร้างแรงบันดาลใจ ให้คติธรรม นำพลังสร้างชีวิต
สวัสดีครับคุณผู้ชมคุณผู้ฟังทุกท่าน ที่ติดตามรับชมภูริฟิล์ม คลิบนี้นะครับผมจะมาพูดคุย ในเรื่องของ ทางสายกลาง ที่พระพุทธเจ้าทรงสอน สำหรับคนรุ่นใหม่เข้าใจง่าย ด้วยอริยมรรคมีองค์ 8 ซึ่งในเรื่องนี้ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่า ในสมัยโบราณ ก่อนที่เจ้าชายสิทธัตถะจะทรงตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้านั้น ก็มีเจ้าลัทธิต่างๆ อยู่เป็นจำนวนมาก และเจ้าลัทธิเหล่านั้น ต่างก็สอนแนวทางปฏิบัติ เพื่อการพ้นทุกข์ที่แตกต่างกันไป ตามความเชื่อของตน ซึ่งสามารถสรุปได้เป็น 2 แนวทาง นั่นก็คือ
1. อัตตกิลมถานุโยค คือ การใช้วิธีทรมานร่างกายของตนเอง ด้วยวิธีการต่างๆ โดยมีความเชื่อว่า เมื่อได้รับความทุกข์จนถึงที่สุดแล้ว ก็จะสามารถจะพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงไปได้ หรือจะเข้าถึงความบริสุทธิ์ไปได้เอง และการปฏิบัติแนวนี้ ก็มีหลากหลายรูปแบบ อย่างเช่น การอดอาหาร การไว้เล็บยาว การยืนขาเดียว การไม่นุ่งผ้า ที่เรียกว่าอเจลกะ หรือการใช้ชีวิต และท่าทางต่างๆ เหมือนวัว ที่เรียกว่าโควัตร หรือการใช้ชีวิตและท่าทางต่างๆ เหมือนสุนัข ที่เรียกว่าสุนัขวัตร หรือการสมาทานบริโภคเฉพาะลูกเดือย เป็นต้น
2. กามสุขัลลิกานุโยค คือ การส้องเสพ บำรุงบำเรอตนเอง ด้วยกามคุณทั้ง 5 อย่างเต็มที่ (ด้วยการสัมผัส กับสิ่งที่น่ารื่นรมย์ต่างๆ ทางตา หู จมูก ลิ้น และกาย) เพราะมีความเชื่อว่าตายแล้วจะสูญ จึงคิดว่า การใช้ชีวิตตามแนวทางที่ 1. ก็มีแต่จะเป็นทุกข์ ไปโดยเปล่าประโยชน์ เพราะฉะนั้นจึงพยายาม หาความสุขให้ได้มากที่สุด ตลอดช่วงเวลาที่มีชีวิตอยู่ โดยเรียกว่านิพพานปัจจุบัน
ส่วนเจ้าชายสิทธัตถะนั้น เมื่อก่อนท่านจะออกบวช ก็ทรงได้รับการบำรุงบำเรอ ด้วยกามคุณทั้ง 5 อย่างเต็มที่มาแล้ว ท่านจึงได้ทรงทราบอย่างชัดเจน ด้วยพระองค์เองว่า วิธีการเช่นนั้น จะทำให้มีความสุข ได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น เมื่อนานวันเข้า ก็จะรู้สึกจืดชืด และน่าเบื่อที่สุด ไม่สามารถจะทำให้พ้น จากความทุกข์ต่างๆ ไปได้จริง ไม่ว่าจะเป็นทุกข์จากความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพรากจากของรัก ความโกรธ เร่าร้อนใจ ความกังวลใจ ความเครียด ความกลัว ความร้อน ความหนาว และทุกข์อื่นๆ อีกสารพัดอย่าง เมื่อท่านออกบวชแล้ว ก็ได้ทรงทดลองใช้วิธีการ ทรมานร่างกายในรูปแบบต่างๆ อยู่เป็นเวลานาน หรือที่เรียกกันว่า ทุกกรกิริยา จนกระทั่งทรงแน่พระทัยว่า วิธีนี้ไม่สามารถจะทำให้พ้น จากความทุกข์ไปได้ จึงได้ทรงพิจารณาว่า การใช้วิธีทรมานร่างกายนั้น เป็นทางที่ตึงเกินไป ทำแล้วก็มีแต่จะได้รับความทุกข์ ไม่มีประโยชน์อะไร ส่วนการบำเรอตนเองด้วยกามนั้น ก็เป็นทางที่หย่อนเกินไป ไม่ใช่ทางที่จะทำให้พ้นทุกข์ไปได้จริง จึงทรงหันมาพิจารณาถึงทางสายกลาง ซึ่งทางสายกลาง ที่พระพุทธเจ้าทรงเล็งเห็นนั้น ก็คือ การบำรุงรักษาร่างกายตามที่จำเป็นจริงๆ ทั้งในเรื่องของอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค เพื่อให้สามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างปรกติสุข ไม่ต้องเป็นทุกข์ เพราะร่างกายเป็นเหตุ แต่ก็ไม่ต้องไปเสียเวลา กับร่างกายจนเกินความจำเป็น และไม่ต้องเป็นทุกข์ เพราะการแสวงหา ในสิ่งที่เกินจำเป็น แล้วหันมาทำความเพียรทางจิตแทน ซึ่งการทำความเพียรทางจิต ก็คือ การปฏิบัติตามทาง ที่เรียกว่าอริยมรรคมีองค์ 8 นั่นเอง ซึ่งมีดังต่อไปนี้
อริยมรรคมีองค์ 8
ข้อที่ 1. สัมมาทิฏฐิ - ความเห็นชอบ คือมีความเห็นที่ถูกต้อง ว่าอะไรคือทุกข์ อะไรคือสมุทัย (เหตุแห่งทุกข์) อะไรคือนิโรธ (ความดับไปแห่งทุกข์ = นิพพาน) และอะไรคือมรรค (ทางปฏิบัติเพื่อความดับไปแห่งทุกข์)
2. สัมมาสังกัปปะ - ความดำริชอบ คือ ดำริที่จะออกจากกาม ออกจากความโกรธความพยาบาท ออกจากความเบียดเบียน ดำริที่จะปฏิบัติตามมรรคมีองค์ 8
3. สัมมาวาจา - วาจาชอบ คือ มีวาจาที่ไม่เป็นไป เพื่อความยินดีในกาม ไม่เป็นไปเพื่อความโกรธ ไม่เป็นไปเพื่อความพยาบาท ไม่เป็นไปเพื่อความเบียดเบียน ไม่พูดปด ไม่พูดส่อเสียด (ยุยงให้เขาแตกแยกกัน) ไม่พูดคำหยาบ (พูดเพื่อให้เขาเจ็บใจ) ไม่พูดเพ้อเจ้อไร้สาระ พูดแต่สิ่งที่มีสาระ เป็นไปเพื่อความเพียร เพื่อความหลุดพ้น
4.สัมมากัมมันตะ - การงานชอบ คือ การแสดงออกทางกายที่เหมาะสม ดีงาม ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม (ล่วงเกินผู้ที่มีเจ้าของ ผู้ปกครองหวงอยู่) ไม่เสพของมึนเมาอันจะทำให้ขาดสติ
5.สัมมาอาชีวะ - เลี้ยงชีพชอบ คือ การประกอบอาชีพสุจริต ถูกทำนองคลองธรรม ไม่คดโกง ไม่เป็นเหตุให้ผู้อื่นเดือดร้อน ไม่ขายสุรา ไม่ขายอาวุธ ไม่ขายยาพิษ ไม่ขายมนุษย์ ไม่เลี้ยงสัตว์เพื่อฆ่าเอง หรือเพื่อให้เขาเอาไปฆ่า ถ้าเป็นนักบวช ก็ยินดีเฉพาะของที่ได้มา โดยถูกต้องตามพระธรรมวินัย
6. สัมมาวายามะ - ความเพียรชอบ คือ มีความเพียร ในการปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์อันชอบ มีความเพียร ในการประคองจิตไว้ ตั้งจิตไว้ เพื่อมิให้อกุศลธรรม อันลามกที่ยังไม่เกิด บังเกิดขึ้น เพื่อละอกุศลธรรม อันลามกที่บังเกิดขึ้นแล้ว เพื่อให้กุศลธรรมที่ยังไม่เกิด บังเกิดขึ้น พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิตไว้ ตั้งจิตไว้ เพื่อความตั้งมั่น ไม่ฟั่นเฟือน เพิ่มพูน ไพบูลย์ เจริญ บริบูรณ์ แห่งกุศลธรรมที่บังเกิดขึ้นแล้ว
7. สัมมาสติ - ระลึกชอบ คือ การมีสติ (ความระลึกได้) ในฐานทั้ง 4 หรือสติปัฏฐาน 4
8. สัมมาสมาธิ - ความตั้งใจมั่นชอบ คือ สมาธิที่เป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง (ในสภาวะที่แท้จริงของสิ่งทั้งหลาย อันได้แก่ ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจ) เพื่อความตรัสรู้ เพื่อความหลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง เพื่อนิพพาน อันได้แก่ สมาธิอันเป็นฐาน สำหรับการเจริญวิปัสสนา
ครูบาอาจารย์ ท่านให้เราพึงสังเกต 2 ข้อดังนี้
1. ก่อนที่เจ้าชายสิทธัตถะ จะทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้น ก็ได้มีการทำสมาธิกันอยู่ก่อนแล้ว ดังเช่น ที่เจ้าชายสิทธัตถะ ได้เสด็จไปเรียน ที่สำนักของ อาฬารดาบส กาลามโคตร และที่สำนักของ อุทกดาบส รามบุตร เป็นต้น แต่สมาธิเหล่านั้น ติดอยู่เพียงแค่ความสงบ ไม่ได้ ใช้เป็นฐาน สำหรับการเจริญวิปัสสนา เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะฝึกถึงขั้นสูงสุดแล้ว จึงทรงเห็นว่า ไม่สามารถจะทำให้ หลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้อย่างแท้จริง จึงได้เสด็จออกมาจากสำนักเหล่านั้น
2. คนจำนวนไม่น้อยมักจะชอบคิดอะไร โดยเอาตนเองเป็นหลักอยู่เสมอ เมื่อตนเองประพฤติปฏิบัติตัว ในเรื่องไหนอยู่ในระดับใด ก็มักจะคิดว่าสิ่งเหล่านั้น คือทางสายกลาง แล้วมองว่าคนที่ปฏิบัติเคร่งครัด กว่าตนเองนั้น ปฏิบัติตึงเกินไป และมองว่าคน ที่ย่อหย่อนกว่าตนเอง ปฏิบัติหย่อนเกินไป คือ เอาตนเองเป็นมาตรฐาน แทนที่จะเอาหลักธรรมเป็นมาตรฐาน ฉะนั้น เราต้องต้องหมั่นพิจารณาให้มาก ครับ
ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิดในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญกับทุกท่าน ที่มีส่วนร่วมในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ
สวัสดีครับคุณผู้ชมคุณผู้ฟังทุกท่าน ที่ติดตามรับชมภูริฟิล์ม คลิบนี้นะครับผมจะมาพูดคุย ในเรื่องของ ทางสายกลาง ที่พระพุทธเจ้าทรงสอน สำหรับคนรุ่นใหม่เข้าใจง่าย ด้วยอริยมรรคมีองค์ 8 ซึ่งในเรื่องนี้ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่า ในสมัยโบราณ ก่อนที่เจ้าชายสิทธัตถะจะทรงตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้านั้น ก็มีเจ้าลัทธิต่างๆ อยู่เป็นจำนวนมาก และเจ้าลัทธิเหล่านั้น ต่างก็สอนแนวทางปฏิบัติ เพื่อการพ้นทุกข์ที่แตกต่างกันไป ตามความเชื่อของตน ซึ่งสามารถสรุปได้เป็น 2 แนวทาง นั่นก็คือ
1. อัตตกิลมถานุโยค คือ การใช้วิธีทรมานร่างกายของตนเอง ด้วยวิธีการต่างๆ โดยมีความเชื่อว่า เมื่อได้รับความทุกข์จนถึงที่สุดแล้ว ก็จะสามารถจะพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงไปได้ หรือจะเข้าถึงความบริสุทธิ์ไปได้เอง และการปฏิบัติแนวนี้ ก็มีหลากหลายรูปแบบ อย่างเช่น การอดอาหาร การไว้เล็บยาว การยืนขาเดียว การไม่นุ่งผ้า ที่เรียกว่าอเจลกะ หรือการใช้ชีวิต และท่าทางต่างๆ เหมือนวัว ที่เรียกว่าโควัตร หรือการใช้ชีวิตและท่าทางต่างๆ เหมือนสุนัข ที่เรียกว่าสุนัขวัตร หรือการสมาทานบริโภคเฉพาะลูกเดือย เป็นต้น
2. กามสุขัลลิกานุโยค คือ การส้องเสพ บำรุงบำเรอตนเอง ด้วยกามคุณทั้ง 5 อย่างเต็มที่ (ด้วยการสัมผัส กับสิ่งที่น่ารื่นรมย์ต่างๆ ทางตา หู จมูก ลิ้น และกาย) เพราะมีความเชื่อว่าตายแล้วจะสูญ จึงคิดว่า การใช้ชีวิตตามแนวทางที่ 1. ก็มีแต่จะเป็นทุกข์ ไปโดยเปล่าประโยชน์ เพราะฉะนั้นจึงพยายาม หาความสุขให้ได้มากที่สุด ตลอดช่วงเวลาที่มีชีวิตอยู่ โดยเรียกว่านิพพานปัจจุบัน
ส่วนเจ้าชายสิทธัตถะนั้น เมื่อก่อนท่านจะออกบวช ก็ทรงได้รับการบำรุงบำเรอ ด้วยกามคุณทั้ง 5 อย่างเต็มที่มาแล้ว ท่านจึงได้ทรงทราบอย่างชัดเจน ด้วยพระองค์เองว่า วิธีการเช่นนั้น จะทำให้มีความสุข ได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น เมื่อนานวันเข้า ก็จะรู้สึกจืดชืด และน่าเบื่อที่สุด ไม่สามารถจะทำให้พ้น จากความทุกข์ต่างๆ ไปได้จริง ไม่ว่าจะเป็นทุกข์จากความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพรากจากของรัก ความโกรธ เร่าร้อนใจ ความกังวลใจ ความเครียด ความกลัว ความร้อน ความหนาว และทุกข์อื่นๆ อีกสารพัดอย่าง เมื่อท่านออกบวชแล้ว ก็ได้ทรงทดลองใช้วิธีการ ทรมานร่างกายในรูปแบบต่างๆ อยู่เป็นเวลานาน หรือที่เรียกกันว่า ทุกกรกิริยา จนกระทั่งทรงแน่พระทัยว่า วิธีนี้ไม่สามารถจะทำให้พ้น จากความทุกข์ไปได้ จึงได้ทรงพิจารณาว่า การใช้วิธีทรมานร่างกายนั้น เป็นทางที่ตึงเกินไป ทำแล้วก็มีแต่จะได้รับความทุกข์ ไม่มีประโยชน์อะไร ส่วนการบำเรอตนเองด้วยกามนั้น ก็เป็นทางที่หย่อนเกินไป ไม่ใช่ทางที่จะทำให้พ้นทุกข์ไปได้จริง จึงทรงหันมาพิจารณาถึงทางสายกลาง ซึ่งทางสายกลาง ที่พระพุทธเจ้าทรงเล็งเห็นนั้น ก็คือ การบำรุงรักษาร่างกายตามที่จำเป็นจริงๆ ทั้งในเรื่องของอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค เพื่อให้สามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างปรกติสุข ไม่ต้องเป็นทุกข์ เพราะร่างกายเป็นเหตุ แต่ก็ไม่ต้องไปเสียเวลา กับร่างกายจนเกินความจำเป็น และไม่ต้องเป็นทุกข์ เพราะการแสวงหา ในสิ่งที่เกินจำเป็น แล้วหันมาทำความเพียรทางจิตแทน ซึ่งการทำความเพียรทางจิต ก็คือ การปฏิบัติตามทาง ที่เรียกว่าอริยมรรคมีองค์ 8 นั่นเอง ซึ่งมีดังต่อไปนี้
อริยมรรคมีองค์ 8
ข้อที่ 1. สัมมาทิฏฐิ - ความเห็นชอบ คือมีความเห็นที่ถูกต้อง ว่าอะไรคือทุกข์ อะไรคือสมุทัย (เหตุแห่งทุกข์) อะไรคือนิโรธ (ความดับไปแห่งทุกข์ = นิพพาน) และอะไรคือมรรค (ทางปฏิบัติเพื่อความดับไปแห่งทุกข์)
2. สัมมาสังกัปปะ - ความดำริชอบ คือ ดำริที่จะออกจากกาม ออกจากความโกรธความพยาบาท ออกจากความเบียดเบียน ดำริที่จะปฏิบัติตามมรรคมีองค์ 8
3. สัมมาวาจา - วาจาชอบ คือ มีวาจาที่ไม่เป็นไป เพื่อความยินดีในกาม ไม่เป็นไปเพื่อความโกรธ ไม่เป็นไปเพื่อความพยาบาท ไม่เป็นไปเพื่อความเบียดเบียน ไม่พูดปด ไม่พูดส่อเสียด (ยุยงให้เขาแตกแยกกัน) ไม่พูดคำหยาบ (พูดเพื่อให้เขาเจ็บใจ) ไม่พูดเพ้อเจ้อไร้สาระ พูดแต่สิ่งที่มีสาระ เป็นไปเพื่อความเพียร เพื่อความหลุดพ้น
4.สัมมากัมมันตะ - การงานชอบ คือ การแสดงออกทางกายที่เหมาะสม ดีงาม ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม (ล่วงเกินผู้ที่มีเจ้าของ ผู้ปกครองหวงอยู่) ไม่เสพของมึนเมาอันจะทำให้ขาดสติ
5.สัมมาอาชีวะ - เลี้ยงชีพชอบ คือ การประกอบอาชีพสุจริต ถูกทำนองคลองธรรม ไม่คดโกง ไม่เป็นเหตุให้ผู้อื่นเดือดร้อน ไม่ขายสุรา ไม่ขายอาวุธ ไม่ขายยาพิษ ไม่ขายมนุษย์ ไม่เลี้ยงสัตว์เพื่อฆ่าเอง หรือเพื่อให้เขาเอาไปฆ่า ถ้าเป็นนักบวช ก็ยินดีเฉพาะของที่ได้มา โดยถูกต้องตามพระธรรมวินัย
6. สัมมาวายามะ - ความเพียรชอบ คือ มีความเพียร ในการปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์อันชอบ มีความเพียร ในการประคองจิตไว้ ตั้งจิตไว้ เพื่อมิให้อกุศลธรรม อันลามกที่ยังไม่เกิด บังเกิดขึ้น เพื่อละอกุศลธรรม อันลามกที่บังเกิดขึ้นแล้ว เพื่อให้กุศลธรรมที่ยังไม่เกิด บังเกิดขึ้น พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิตไว้ ตั้งจิตไว้ เพื่อความตั้งมั่น ไม่ฟั่นเฟือน เพิ่มพูน ไพบูลย์ เจริญ บริบูรณ์ แห่งกุศลธรรมที่บังเกิดขึ้นแล้ว
7. สัมมาสติ - ระลึกชอบ คือ การมีสติ (ความระลึกได้) ในฐานทั้ง 4 หรือสติปัฏฐาน 4
8. สัมมาสมาธิ - ความตั้งใจมั่นชอบ คือ สมาธิที่เป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง (ในสภาวะที่แท้จริงของสิ่งทั้งหลาย อันได้แก่ ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจ) เพื่อความตรัสรู้ เพื่อความหลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งปวง เพื่อนิพพาน อันได้แก่ สมาธิอันเป็นฐาน สำหรับการเจริญวิปัสสนา
ครูบาอาจารย์ ท่านให้เราพึงสังเกต 2 ข้อดังนี้
1. ก่อนที่เจ้าชายสิทธัตถะ จะทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้น ก็ได้มีการทำสมาธิกันอยู่ก่อนแล้ว ดังเช่น ที่เจ้าชายสิทธัตถะ ได้เสด็จไปเรียน ที่สำนักของ อาฬารดาบส กาลามโคตร และที่สำนักของ อุทกดาบส รามบุตร เป็นต้น แต่สมาธิเหล่านั้น ติดอยู่เพียงแค่ความสงบ ไม่ได้ ใช้เป็นฐาน สำหรับการเจริญวิปัสสนา เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะฝึกถึงขั้นสูงสุดแล้ว จึงทรงเห็นว่า ไม่สามารถจะทำให้ หลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้อย่างแท้จริง จึงได้เสด็จออกมาจากสำนักเหล่านั้น
2. คนจำนวนไม่น้อยมักจะชอบคิดอะไร โดยเอาตนเองเป็นหลักอยู่เสมอ เมื่อตนเองประพฤติปฏิบัติตัว ในเรื่องไหนอยู่ในระดับใด ก็มักจะคิดว่าสิ่งเหล่านั้น คือทางสายกลาง แล้วมองว่าคนที่ปฏิบัติเคร่งครัด กว่าตนเองนั้น ปฏิบัติตึงเกินไป และมองว่าคน ที่ย่อหย่อนกว่าตนเอง ปฏิบัติหย่อนเกินไป คือ เอาตนเองเป็นมาตรฐาน แทนที่จะเอาหลักธรรมเป็นมาตรฐาน ฉะนั้น เราต้องต้องหมั่นพิจารณาให้มาก ครับ
ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิดในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญกับทุกท่าน ที่มีส่วนร่วมในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น