การเป็นหนี้ ที่ทำให้เกิดทุกข์ ควรแก้ไขอย่างไร
PURIFILM สร้างแรงบันดาลใจ ให้คติธรรม นำพลังสร้างชีวิต
สวัสดีครับคุณผู้ชมคุณผู้ฟังทุกท่าน ที่ติดตามรับชมภูริฟิล์ม คลิบนี้ผมจะมาพูดคุยในเรื่องของ การเป็นหนี้ ที่ทำให้เกิดความทุกข์ ว่าเราควรแก้ไขอย่างไรดี ซึ่งในเรื่องนี้ ครูบาอาจารย์ ท่านให้ข้อคิดเตือนสติว่า ความจนนั้น ก็เป็นทุกข์อย่างหนึ่งในโลกใบนี้ แต่ว่าคนจน ก็สามารถที่จะอยู่บนโลกใบนี้ได้ ดังนั้นมนุษย์เรา จะรวยจะจนอย่างไรก็ตาม บางครั้งชีวิต ก็เลือกเกิดไม่ได้ และเราทุกคน ก็ไม่มีใครที่อยากจะเกิดมายากจน แต่เมื่อเราเกิดมาแล้ว ก็ต้องสู้ และดิ้นรนกันต่อไป ยิ่งปัจจุบันนี้ ระบบเศรษฐกิจ ก็พยายามเหมือนจะให้เราได้สร้างหนี้ อย่างเช่น เป็นหนี้บัตรเครดิต เป็นต้น แรกๆ อาจจะทำให้เราสะดวกสบาย อยากได้อะไร ก็รูดก็ผ่อนเอา และบางคน เมื่อซื้อสินค้าเงินผ่อน ก็จะค่อยๆ ติดหนี้โดยไม่รู้ตัว ดังคำพูดที่ว่า ตอนใช้เงินเหมือนเทวดา แต่พอเวลาเจ้าหนี้มา เหมือนกับอยู่ในนรก
ในสังคมปัจจุบันนี้ ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่า น้อยคนนัก ที่จะกล้าบอก ว่าตัวเองนั้นไม่เป็นหนี้ เพราะในทุกวันนี้ แทบจะทุกคนก็มีหนี้กันทั้งสิ้น บางคนก็มีมาก บางคนก็มีน้อย และบางคนเอง ก็กำลังจะสร้างหนี้ และบางคนนั้น ก็หาเงินใช้หนี้ไม่ทัน จึงทำให้เกิดความทุกข์ ท่านว่าเหตุเหล่านี้ ก็เพราะความยากมียากได้ของเราเอง ต้องการความสะดวกสบาย เมื่ออยากได้อะไรก็รูดหรือผ่อนเอา และบางอย่างเอง ก็ไม่มีความจำเป็น ที่เราจะต้องใช้ด้วยซ้ำ แต่เราก็ยังซื้อ และในบ้าน ก็เต็มไปด้วย ข้าวของที่ไม่จำเป็น จนสร้างหนี้สินที่คาดไม่ถึง ท่านว่า คนเรานั้น ไม่เคยพอใจอะไรสักอย่าง เพราะคิดแต่ว่า ถ้าตัวเองจะมีความสุขได้ ก็ต้องมีเหมือนกับคนอื่นเขา หรือมากกว่าคนอื่น เราจึงจะมีความสุขได้ ดังนั้น แทบจะทุกคนจึงต้องแสวงหา เพื่อให้ได้มา ในสิ่งที่ตัวเองคิดว่า จะมีความสุข ซึ่งเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่า การแสวงหาความพึงพอใจเหล่านี้ ก็คือ การแสวงหาความเจ็บปวด และแสวงหาความทุกข์มาให้ตัวเอง เพราะจิตใจของมนุษย์เรานั้น ไม่มีคำว่าพอ เมื่อเราได้คืบ เราก็จะเอาศอก หรือเรามีหมื่นมีแสน เราก็จะเอาล้าน ท่านว่า ถ้าหากใครเข้าใจในเรื่องนี้ ได้อย่างถ่องแท้ ก็จะเข้าใจ ในเรื่องการปล่อยวางได้ง่าย อย่างเช่น ถ้าเราอยากจะซื้ออะไรสักอย่าง เราก็ควร จะถามตัวเองก่อนว่า เราต้องการมันจริงๆ หรือไม่ เราอย่าไปซื้อ เพียงเพราะเห็นว่ามันมีประโยชน์ ซึ่งในโลกนี้ มีสิ่งที่เป็นประโยชน์มากมาย ที่เกินความจำเป็นของเรา และก็มีสิ่งที่ไร้ประโยชน์ มากมายเช่นกัน ดังนั้น เราควรจะใช้สิ่ง ที่เรามีอยู่ในมือ ให้คุ้มค่ามากที่สุด ดังคำพูดที่ว่า คนเราถึงจะมีเงินมากมาย มหาศาลแค่ไหนก็ตาม เวลาจะกินอาหาร เราก็จะกิน เพียงแค่อิ่มเท่านั้น
พระพุทธเจ้าท่านได้แสดงความสุข ของชาวบ้าน ให้อนาถบิณฑิกเศรษฐีฟัง ซึ่งสรุปความได้ว่า “ดูกรคฤหบดี สุขสี่ประการนี้ อันคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม พึงได้รับตามกาลตามสมัย คือสุขเกิด แต่ความมีทรัพย์ สุขเกิด แต่การจ่ายทรัพย์บริโภค สุขเกิด แต่ความไม่เป็นหนี้ สุขเกิด แต่ประกอบการงาน ที่ปราศจากโทษ” ท่านว่าคนที่มีเงิน ใช้เงิน ไม่เป็นหนี้ และมีงานทำ นี่คือความสุขของชาวบ้านทั่วไป และพระพุทธเจ้า ท่านยังได้กล่าวถึงคนจนไว้ว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความเป็นคนจน เป็นทุกข์ของบุคคล ผู้บริโภคกามในโลก คนจนเข็ญใจยากไร้ ย่อมกู้ยืม กู้ยืมแล้ว ย่อมรับใช้ดอกเบี้ย การไม่ใช้ดอกเบี้ย ตามกำหนดเวลา เจ้าหนี้ทั้งหลาย ย่อมทวงถามเขา ถูกเจ้าหนี้ทวงแล้ว ไม่ให้ เจ้าหนี้ทั้งหลาย ย่อมติดตามเขา เมื่อเจ้าหนี้ติดตามทัน ไม่ให้ทรัพย์ เจ้าหนี้ทั้งหลาย ย่อมจองจำเขา แม้การจองจำ เป็นทุกข์ของบุคคล ผู้บริโภคกามในโลก” ท่านว่า การเป็นคนจนอย่างเดียว ก็เป็นทุกข์หนักหนาพออยู่แล้ว แถมจะต้องตกเป็นลูกหนี้อีก และเมื่อถูกเจ้าหนี้ ตามทวง ก็อาจถูกทำร้าย หากไม่จ่ายหนี้เขาตามกำหนด ซึ่งชีวิตอันแสนรันทดนี้ ท่านว่า มีมาทุกยุคทุกสมัย
พระพุทธเจ้าท่านได้สรุป กับภิกษุให้ฟังว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ความเป็นคนจน ก็เป็นทุกข์ของบุคคล ผู้บริโภคกามในโลก แม้การกู้ยืม ก็เป็นทุกข์ของบุคคล ผู้บริโภคกามในโลก แม้การรับใช้ดอกเบี้ย ก็เป็นทุกข์ของบุคคล ผู้บริโภคกามในโลก แม้การทวง ก็เป็นทุกข์ ของบุคคลผู้บริโภคกามในโลก แม้การติดตาม ก็เป็นทุกข์ของบุคคล ผู้บริโภคกามในโลก แม้การจองจำ ก็เป็นทุกข์ของบุคคล ผู้บริโภคกามในโลก” ซึ่งครูบาอาจารย์ท่านให้เรา สังเกตในพระสูตรนี้ จะเน้นที่ผู้บริโภคกาม แต่ความจนของชาวบ้านนั้น ท่านว่า ก็ยังไม่จนเท่า กับคนที่ไม่ศึกษา ทางแห่งความดี จนกลายเป็นคนยากจน ในพระธรรมวินัย พระพุทธเจ้าท่านจึงสรุปไว้ว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคน ไม่มีศรัทธาในกุศลธรรม ไม่มีหิริในกุศลธรรม ไม่มีโอตตัปปะในกุศลธรรม ไม่มีวิริยะในกุศลธรรม ไม่มีปัญญาในกุศลธรรม บุคคลนี้เรียกว่า เป็นคนจนเข็ญใจ ยากไร้ ในวินัยของพระอริยเจ้า” ท่านว่า ก็เริ่มต้นด้วยศรัทธา และจบลงด้วยปัญญา อันหมายถึงให้เราเชื่อ โดยใช้ปัญญา ไม่ให้เราเชื่ออย่างงมงาย
ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่า ในปัจจุบันนี้ หากใครที่ไม่เป็นหนี้ ก็นับว่าเป็นคน ที่โชคดีที่สุด และเป็นคน ที่น่าจะมีความสุขมากที่สุด เพราะโลกในยุคปัจจุบันนี้ ก็เหมือนกับบีบบังคับเราทางอ้อม ให้เรา ต้องตกเป็นหนี้ เป็นสิน และบางครั้งเราเองก็ยอมเป็นหนี้ ด้วยความเต็มใจ แต่บางครั้ง เราก็เป็นหนี้ ที่เกิดจากความไม่ได้ตั้งใจก็มี หรืออาจจะเป็นหนี้ เพราะเราไม่รู้เท่าทันกลลวง ของระบบเศรษฐกิจ จึงทำให้คนที่จนอยู่แล้ว ก็จะยิ่งจนไปอีก และก็ทำให้หลายๆ คนต้องทนทุกข์ต่อไป ดังคำที่พระพุทธเจ้า ท่านทรงแสดงไว้ว่า ความจนเป็นทุกข์ในโลก การกู้หนี้ ก็เป็นทุกข์ในโลก เช่นเดียวกัน ครับ
ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิดในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญกับทุกท่าน ที่มีส่วนร่วมในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ
สวัสดีครับคุณผู้ชมคุณผู้ฟังทุกท่าน ที่ติดตามรับชมภูริฟิล์ม คลิบนี้ผมจะมาพูดคุยในเรื่องของ การเป็นหนี้ ที่ทำให้เกิดความทุกข์ ว่าเราควรแก้ไขอย่างไรดี ซึ่งในเรื่องนี้ ครูบาอาจารย์ ท่านให้ข้อคิดเตือนสติว่า ความจนนั้น ก็เป็นทุกข์อย่างหนึ่งในโลกใบนี้ แต่ว่าคนจน ก็สามารถที่จะอยู่บนโลกใบนี้ได้ ดังนั้นมนุษย์เรา จะรวยจะจนอย่างไรก็ตาม บางครั้งชีวิต ก็เลือกเกิดไม่ได้ และเราทุกคน ก็ไม่มีใครที่อยากจะเกิดมายากจน แต่เมื่อเราเกิดมาแล้ว ก็ต้องสู้ และดิ้นรนกันต่อไป ยิ่งปัจจุบันนี้ ระบบเศรษฐกิจ ก็พยายามเหมือนจะให้เราได้สร้างหนี้ อย่างเช่น เป็นหนี้บัตรเครดิต เป็นต้น แรกๆ อาจจะทำให้เราสะดวกสบาย อยากได้อะไร ก็รูดก็ผ่อนเอา และบางคน เมื่อซื้อสินค้าเงินผ่อน ก็จะค่อยๆ ติดหนี้โดยไม่รู้ตัว ดังคำพูดที่ว่า ตอนใช้เงินเหมือนเทวดา แต่พอเวลาเจ้าหนี้มา เหมือนกับอยู่ในนรก
ในสังคมปัจจุบันนี้ ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่า น้อยคนนัก ที่จะกล้าบอก ว่าตัวเองนั้นไม่เป็นหนี้ เพราะในทุกวันนี้ แทบจะทุกคนก็มีหนี้กันทั้งสิ้น บางคนก็มีมาก บางคนก็มีน้อย และบางคนเอง ก็กำลังจะสร้างหนี้ และบางคนนั้น ก็หาเงินใช้หนี้ไม่ทัน จึงทำให้เกิดความทุกข์ ท่านว่าเหตุเหล่านี้ ก็เพราะความยากมียากได้ของเราเอง ต้องการความสะดวกสบาย เมื่ออยากได้อะไรก็รูดหรือผ่อนเอา และบางอย่างเอง ก็ไม่มีความจำเป็น ที่เราจะต้องใช้ด้วยซ้ำ แต่เราก็ยังซื้อ และในบ้าน ก็เต็มไปด้วย ข้าวของที่ไม่จำเป็น จนสร้างหนี้สินที่คาดไม่ถึง ท่านว่า คนเรานั้น ไม่เคยพอใจอะไรสักอย่าง เพราะคิดแต่ว่า ถ้าตัวเองจะมีความสุขได้ ก็ต้องมีเหมือนกับคนอื่นเขา หรือมากกว่าคนอื่น เราจึงจะมีความสุขได้ ดังนั้น แทบจะทุกคนจึงต้องแสวงหา เพื่อให้ได้มา ในสิ่งที่ตัวเองคิดว่า จะมีความสุข ซึ่งเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่า การแสวงหาความพึงพอใจเหล่านี้ ก็คือ การแสวงหาความเจ็บปวด และแสวงหาความทุกข์มาให้ตัวเอง เพราะจิตใจของมนุษย์เรานั้น ไม่มีคำว่าพอ เมื่อเราได้คืบ เราก็จะเอาศอก หรือเรามีหมื่นมีแสน เราก็จะเอาล้าน ท่านว่า ถ้าหากใครเข้าใจในเรื่องนี้ ได้อย่างถ่องแท้ ก็จะเข้าใจ ในเรื่องการปล่อยวางได้ง่าย อย่างเช่น ถ้าเราอยากจะซื้ออะไรสักอย่าง เราก็ควร จะถามตัวเองก่อนว่า เราต้องการมันจริงๆ หรือไม่ เราอย่าไปซื้อ เพียงเพราะเห็นว่ามันมีประโยชน์ ซึ่งในโลกนี้ มีสิ่งที่เป็นประโยชน์มากมาย ที่เกินความจำเป็นของเรา และก็มีสิ่งที่ไร้ประโยชน์ มากมายเช่นกัน ดังนั้น เราควรจะใช้สิ่ง ที่เรามีอยู่ในมือ ให้คุ้มค่ามากที่สุด ดังคำพูดที่ว่า คนเราถึงจะมีเงินมากมาย มหาศาลแค่ไหนก็ตาม เวลาจะกินอาหาร เราก็จะกิน เพียงแค่อิ่มเท่านั้น
พระพุทธเจ้าท่านได้แสดงความสุข ของชาวบ้าน ให้อนาถบิณฑิกเศรษฐีฟัง ซึ่งสรุปความได้ว่า “ดูกรคฤหบดี สุขสี่ประการนี้ อันคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม พึงได้รับตามกาลตามสมัย คือสุขเกิด แต่ความมีทรัพย์ สุขเกิด แต่การจ่ายทรัพย์บริโภค สุขเกิด แต่ความไม่เป็นหนี้ สุขเกิด แต่ประกอบการงาน ที่ปราศจากโทษ” ท่านว่าคนที่มีเงิน ใช้เงิน ไม่เป็นหนี้ และมีงานทำ นี่คือความสุขของชาวบ้านทั่วไป และพระพุทธเจ้า ท่านยังได้กล่าวถึงคนจนไว้ว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความเป็นคนจน เป็นทุกข์ของบุคคล ผู้บริโภคกามในโลก คนจนเข็ญใจยากไร้ ย่อมกู้ยืม กู้ยืมแล้ว ย่อมรับใช้ดอกเบี้ย การไม่ใช้ดอกเบี้ย ตามกำหนดเวลา เจ้าหนี้ทั้งหลาย ย่อมทวงถามเขา ถูกเจ้าหนี้ทวงแล้ว ไม่ให้ เจ้าหนี้ทั้งหลาย ย่อมติดตามเขา เมื่อเจ้าหนี้ติดตามทัน ไม่ให้ทรัพย์ เจ้าหนี้ทั้งหลาย ย่อมจองจำเขา แม้การจองจำ เป็นทุกข์ของบุคคล ผู้บริโภคกามในโลก” ท่านว่า การเป็นคนจนอย่างเดียว ก็เป็นทุกข์หนักหนาพออยู่แล้ว แถมจะต้องตกเป็นลูกหนี้อีก และเมื่อถูกเจ้าหนี้ ตามทวง ก็อาจถูกทำร้าย หากไม่จ่ายหนี้เขาตามกำหนด ซึ่งชีวิตอันแสนรันทดนี้ ท่านว่า มีมาทุกยุคทุกสมัย
พระพุทธเจ้าท่านได้สรุป กับภิกษุให้ฟังว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ความเป็นคนจน ก็เป็นทุกข์ของบุคคล ผู้บริโภคกามในโลก แม้การกู้ยืม ก็เป็นทุกข์ของบุคคล ผู้บริโภคกามในโลก แม้การรับใช้ดอกเบี้ย ก็เป็นทุกข์ของบุคคล ผู้บริโภคกามในโลก แม้การทวง ก็เป็นทุกข์ ของบุคคลผู้บริโภคกามในโลก แม้การติดตาม ก็เป็นทุกข์ของบุคคล ผู้บริโภคกามในโลก แม้การจองจำ ก็เป็นทุกข์ของบุคคล ผู้บริโภคกามในโลก” ซึ่งครูบาอาจารย์ท่านให้เรา สังเกตในพระสูตรนี้ จะเน้นที่ผู้บริโภคกาม แต่ความจนของชาวบ้านนั้น ท่านว่า ก็ยังไม่จนเท่า กับคนที่ไม่ศึกษา ทางแห่งความดี จนกลายเป็นคนยากจน ในพระธรรมวินัย พระพุทธเจ้าท่านจึงสรุปไว้ว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคน ไม่มีศรัทธาในกุศลธรรม ไม่มีหิริในกุศลธรรม ไม่มีโอตตัปปะในกุศลธรรม ไม่มีวิริยะในกุศลธรรม ไม่มีปัญญาในกุศลธรรม บุคคลนี้เรียกว่า เป็นคนจนเข็ญใจ ยากไร้ ในวินัยของพระอริยเจ้า” ท่านว่า ก็เริ่มต้นด้วยศรัทธา และจบลงด้วยปัญญา อันหมายถึงให้เราเชื่อ โดยใช้ปัญญา ไม่ให้เราเชื่ออย่างงมงาย
ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่า ในปัจจุบันนี้ หากใครที่ไม่เป็นหนี้ ก็นับว่าเป็นคน ที่โชคดีที่สุด และเป็นคน ที่น่าจะมีความสุขมากที่สุด เพราะโลกในยุคปัจจุบันนี้ ก็เหมือนกับบีบบังคับเราทางอ้อม ให้เรา ต้องตกเป็นหนี้ เป็นสิน และบางครั้งเราเองก็ยอมเป็นหนี้ ด้วยความเต็มใจ แต่บางครั้ง เราก็เป็นหนี้ ที่เกิดจากความไม่ได้ตั้งใจก็มี หรืออาจจะเป็นหนี้ เพราะเราไม่รู้เท่าทันกลลวง ของระบบเศรษฐกิจ จึงทำให้คนที่จนอยู่แล้ว ก็จะยิ่งจนไปอีก และก็ทำให้หลายๆ คนต้องทนทุกข์ต่อไป ดังคำที่พระพุทธเจ้า ท่านทรงแสดงไว้ว่า ความจนเป็นทุกข์ในโลก การกู้หนี้ ก็เป็นทุกข์ในโลก เช่นเดียวกัน ครับ
ขออนุโมทนาบุญ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์ทุกท่าน ที่ให้คติธรรม และข้อคิดในการดำเนินชีวิต และขออนุโมทนาบุญกับทุกท่าน ที่มีส่วนร่วมในการจัดทำคลิบนี้ และรับชมคลิบนี้ สาธุครับ

ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น